กรุงเทพฯ 15 ก.ค. – กรมส่งเสริมสหกรณ์เร่งขับเคลื่อนโครงการนำลูกหลานเกษตรกรกลับบ้านทำเกษตร พร้อมดันสหกรณ์เปิดพื้นที่เป็นซูเปอร์มาร์เก็ตขายผลผลิตของสมาชิก
นายวิศิษฐ์ ศรีสุวรรณ์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ กล่าวถึงความคืบหน้าของโครงการนำลูกหลานเกษตรกรกลับบ้านสานต่ออาชีพการเกษตร ว่า จากการเปิดรับสมัครโครงการนำลูกหลานเกษตรกรกลับบ้าน สานต่ออาชีพการเกษตร เมื่อวันที่ 1- 31 มกราคม 2563 มีผู้สมัครเข้าร่วมโครงการจากทั่วประเทศ 7,559 ราย และมีสหกรณ์เข้าร่วมโครงการแล้ว 690 สหกรณ์ ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพพนักงานบริษัท ค้าขาย รับจ้างทั่วไป ลูกจ้างหน่วยงาน ข้าราชการ พนักงานรัฐ นักศึกษาและผู้ว่างงาน เป็นคนในช่วงวัย 30 – 39 ปีมากที่สุดและส่วนใหญ่จบระดับปริญญาตรี โดยตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคมเจ้าหน้าที่ของสำนักงานสหกรณ์จังหวัดติดต่อผู้สมัครเพื่อสอบถามถึงความพร้อมในการกลับไปทำการเกษตร และได้มีการลงพื้นที่เพื่อไปเยี่ยมเยียนถึงบ้านและพื้นที่ โดยมีผู้ยืนยันความพร้อมทำเกษตรในโครงการนี้แล้ว 6,079 ราย และส่วนใหญ่ต้องการให้มีการสนับสนุนและส่งเสริมในการพัฒนาทักษะสาขาต่าง ๆ ได้แก่ เกษตรผสมผสานเกษตรอินทรีย์ เทคโนโลยีการเกษตร เกษตรอัจฉริยะ เกษตรแม่นยำ การปรับปรุงการผลิตการเกษตร/ทักษะการเกษตร การบริหารจัดการธุรกิจการเกษตร การใช้เทคโนโลยีเพื่อพัฒนาการผลิตและช่องทางการค้าในระบบออนไลน์ เป็นต้น ขณะนี้แต่ละจังหวัดได้มีการวางแผนในการถ่ายทอดความรู้ให้แก่ผู้สมัครเข้าร่วมโครงการตามความสนใจของแต่ละราย และจะประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาร่วมในการแนะนำการประกอบอาชีพการทำเกษตรในด้านต่าง ๆ ด้วย
โครงการดังกล่าวมีความเชื่อมโยงกับโครงการนำลูกหลานเกษตรกรกลับบ้านที่มีวัตถุประสงค์สนับสนุนให้คนรุ่นใหม่ได้กลับมาสานต่ออาชีพการเกษตร โดยเน้นการนำเทคโนโลยีต่าง ๆ พัฒนากระบวนการผลิต การแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่าและการตลาด การวางแผนการผลิตที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาด เน้นทำน้อยแต่ได้มาก ต้นทุนการผลิตต่ำ แต่ได้ผลกำไรที่คุ้มค่า และได้มีโอกาสอยู่ดูแลครอบครัวใกล้ชิด ทั้งนี้ ให้สหกรณ์เป็นพี่เลี้ยงคอยดูแลแนะนำอาชีพ โดยมุ่งหวังให้คนรุ่นใหม่เหล่านี้เข้ามาสานต่อและพัฒนางานสหกรณ์ในอนาคต สหกรณ์ให้เป็นจุดจำหน่ายสินค้าเกษตรของสหกรณ์ที่มีคุณภาพจากจังหวัดต่าง ๆ เช่น ข้าวสาร นม ไข่ไก่ ผักผลไม้ อาหารแปรรูปและเป็นช่องทางให้ผู้บริโภคเข้าถึงสินค้าสหกรณ์ได้มากขึ้น และผลักดันให้สหกรณ์เป็นศูนย์รวบรวมและจำหน่ายผลผลิตที่มีคุณภาพแก่ประชาชนในราคาที่เป็นธรรมอย่างทั่วถึงในรูปแบบซูเปอร์มาร์เก็ตสหกรณ์ตามแนวคิด “สด สะอาด ปลอดภัย” Fresh From Farm by Co-op สดจากฟาร์มถึงมือคุณ
สำหรับโครงการซูเปอร์มาร์เก็ตสหกรณ์ดำเนินการให้สอดคล้องกับนโยบาย “ตลาดนำการผลิต” ภายใต้ความร่วมมือระหว่างเครือข่ายสหกรณ์ผู้ผลิตที่ทำหน้าที่ในการรวบรวม แปรรูป บริหารจัดการสินค้าของสมาชิกเกษตรกร และกระจายสินค้าตรงถึงผู้บริโภค ซึ่งภายหลังจากได้เปิดตัวนำร่องซูเปอร์มาเก็ตสหกรณ์แห่งแรกที่ร้านสหกรณ์พระนคร จำกัด ถนนพหลโยธิน กรุงเทพฯ เมื่อปี 2562 ทำให้มีกระแสตอบรับจากสหกรณ์ต่าง ๆ สมัครเข้าร่วมโครงการนี้ จำนวน 94 แห่ง กระจายอยู่ในพื้นที่ 42 จังหวัด ประกอบด้วย ภาคเหนือ 10 จังหวัด 19 แห่ง ภาคกลาง 14 จังหวัด 31 แห่ง ภาคใต้ 10 จังหวัด 20 แห่ง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 8 จังหวัด 24 แห่ง
ทั้งนี้ สินค้าหลักที่จะเน้นให้สหกรณ์ที่สมัครเข้าร่วมโครงการนี้ นำมาจำหน่ายในซูเปอร์มาร์เก็ตสหกรณ์ ได้แก่ ข้าวสาร หลากหลายชนิด เช่น ข้าวหอมมะลิ ข้าวกล้อง ข้าวอินทรีย์ ข้าวไรซ์เบอร์รี่ นอกจากนี้ ก็ยังมีสินค้าเพื่อบริโภคในชีวิตประจำวัน ได้แก่ นมพร้อมดื่ม ไข่ไก่ เนื้อโคขุน สินค้าประมงแปรรูป ผลิตภัณฑ์กาแฟ ผักอินทรีย์ ผักสวนครัว ผักพื้นบ้าน และผลไม้ตามฤดูกาล รวมถึงส่งเสริมให้มีการเชื่อมโยงสินค้าและผลิตภัณฑ์ระหว่างเครือข่ายสหกรณ์ เพื่อนำไปวางจำหน่ายในซูเปอร์มาร์เก็ตสหกรณ์ ไม่น้อยกว่า 73 แห่ง มูลค่าธุรกิจเฉลี่ยประมาณ 8 ล้านบาทต่อเดือน โดยสินค้าที่มีมูลค่าธุรกิจสูงสุด คือ ข้าว รองมา ได้แก่ ผลไม้ ผลิตภัณฑ์นม และกาแฟ
นอกจากนี้ กรมส่งเสริมสหกรณ์มีแผนพัฒนาความรู้ในการดำเนินธุรกิจร้านค้าสหกรณ์ในการปรับตัวรองรับการเข้าสู่ยุค New Normal เพื่อให้ร้านค้าสหกรณ์ที่เข้าร่วมโครงการได้รับการพัฒนาความรู้ในการดำเนินธุรกิจ รวมถึงได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้เชื่อมโยงเครือข่ายความร่วมมือในการบริหารจัดการซูเปอร์มาร์เก็ตสหกรณ์และสามารถปรับตัวรองรับการเปลี่ยนแปลงในยุค New Normal จัดการอบรมออนไลน์ผ่านระบบ Zoom 3 ครั้ง โดยครั้งที่ 1 จัดเมื่อวันที่ 13 – 14 กรกฎาคม ครั้งที่ 2 จัดวันที่ 20 – 21 กรกฎาคม และครั้งที่ 3 จัดวันที่ 21 สิงหาคม 2563 จากนั้นจะมีการคัดเลือกซูเปอร์มาร์เก็ตสหกรณ์ 10 แห่ง เพื่อเป็นต้นแบบในการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์การขับเคลื่อนซูเปอร์มาร์เก็ตสหกรณ์ต่อไป.-สำนักข่าวไทย