รัฐสภา 29 มิ.ย.-หัวหน้าพรรคก้าวไกลไม่วิจารณ์ “นฤมล” นั่งหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ พปชร. แนะเลือกคนเหมาะสมรับมือมหาวิกฤติ อย่ายึดติดเรื่องโควตาและเล่นการเมืองแบบเก่า
นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีพรรคพลังประชารัฐตั้งนางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรคและโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นหัวหน้าทีมเศรฐกิจพรรคพลังประชารัฐ ว่า ประชาชนเรียกร้องถึงความชัดเจนของบุคลากรที่เป็นทีมเศรษฐกิจและนโยบายเศรษฐกิจ ตอนนี้รัฐบาลออกมาตรการมาหลายรูปแบบทั้ง พ.ร.บ.โอนงบประมาณ พ.ร.ก.กู้เงิน และงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2564 แต่ถ้าไปดูดัชนีความเชื่อมั่นในการบริโภค และตัวเลขในการท่องเที่ยวจะเห็นว่าประเทศไทยมีการตอบสนองปัญหาอย่างเต็มที่ ทั้งนโยบายการเงินและการธนาคาร แต่ความเชื่อมั่นของประชาชนและ SMEs กลับต่ำลงเรื่อยๆ รัฐบาลจึงต้องตัดสินใจไม่ใช่แค่ในมุมการเมือง แต่ต้องดูถึงความเหมาะสมเพื่อให้เกิดความมั่นใจกลับคืนมาและการแก้ปัญหาเศรษฐกิจก็จะง่ายขึ้น
หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวว่า ดังนั้นบุคคลากรที่เลือกต้องอยู่บนความพร้อมสำหรับแก้ปัญหาในมหาวิกฤตอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ยกตัวอย่าง การเยียวยาแรงงานนอกระบบ เกษตรกร คนพิการ ผู้สูงอายุ และเด็ก จะหมดลงในเดือนหน้า หรือการพักชำระหนี้จากธนาคาร ก็จะหมดเดือนกันยายนแล้ว ซึ่งประชาชน ก็จะตั้งคำถามว่าแล้วยังไงต่อ ตอนนี้นโยบายต่าง ๆ ยังไม่ได้เรียกความเชื่อมั่น ถูกต้องที่นายกฯ เคยบอกว่าประเทศไหนก็ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจเหมือนกันหมดในช่วงนี้ แต่จากการรายงานของสำนักงานต่าง ๆ ชี้ให้เห็นว่าประเทศไทยได้รับผลกระทบมากที่สุด
นายพิธา กล่าวว่า ไม่ขอลงรายละเอียดถึงตัวนางนฤมล แต่เสนอว่าบุคคลที่จะเข้ามาทำงานด้านเศรษฐกิจต้องมีความเข้าใจถึง supply chain ระดับโลก เข้าใจการผลิต การเงิน และการธนาคาร รวมทั้งต้องติดดินเข้าใจประชาชนได้จริง แต่จากปัญหาการเมืองที่ระอุมาก จึงไม่มีใครอยากเข้ามาทำงานพยุงเศรษฐกิจ คนไม่อยากเข้ามาเปลืองตัว นายกรัฐมนตรีต้องจัดบรรยากาศในการทำงานให้เหมาะคนที่มีความรู้ความสามารถและพร้อมเข้ามาเสียสละทำงาน ถ้าคนนอกที่อยากเข้ามาทำงานก็อยากรักษาประโยชน์ให้กับพี่น้องประชาชน แต่ถ้าติดเรื่องโควตาและเล่นการเมืองแบบเก่าก็เป็นบรรยากาศที่ไม่มีใครอยากเข้ามา เพราะทำงานแบบไม่มี ส.ส. สนับสนุนเป็นฐานของตัวเองก็เก้าอี้ลอย พอเข้ามาทำงานแล้วสักพักก็ไม่ได้รับการสนับสนุน หรือทำงานเสร็จแล้วผลักออก
หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวว่า งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2564 ที่ทำมาตอนนี้เหมือนทำมาเพื่อแช่แข็งประเทศไทย ไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปจากปี 2563 ไม่มีการแก้ปัญหาของชาวภาคเหนือที่มีปัญหาไฟป่าคู่กับโควิด ภาคอีสานภัยแล้งคู่กับโควิด หรือภาคใต้ที่มีปัญหาการท่องเที่ยวพร้อมกับโควิด พวกเขาเหล่านี้จะต้องผิดหวัง ซึ่งส่วนตัวมองว่าต้องเร่งเยียวยาภาคใต้ก่อนอันดับแรกตามความเร่งด่วน โดยดูจากจีดีพี ของภูมิภาคไม่ใช่ จีดีพี ของประเทศ ถ้าเป็นตนจะใช้เทคโนโลยี เช่น เว็บไซต์เราไม่ทิ้งกันเป็นกลไกให้เข้าถึงประชาชน เหมือนสิงคโปร์ ที่กดทีเดียวเงินเยียวยาถึงประชาชน ดังนั้นตนจึงหวังว่าคนที่จะเข้ามาทำงาน หลังการปรับ คณะรัฐมนตรีก็ต้องมีวิสัยทัศน์ในการแก้งบประมาณที่ไม่ตรงจุด คิดแผนให้นายกรัฐมนตรี และหวังว่านายกรัฐมนตรีจะไม่ใช้อำนาจและตีเช็คเปล่า และหากโครงการต่าง ๆ ที่เสนอมาใช้จ่ายจากงบประมาณเงินกู้ 1.1 ล้านล้านบาทไม่ตอบสนองจุดประสงค์ก็ต้องสามารถโอนกลับมาใช้ในด้านการป้องกันโรคได้.-สำนักข่าวไทย