สสส.เปิดผลสำรวจเด็กไทยใช้ยาเสพติดเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

กทม.24มิ.ย.- สสส เผยผลสำรวจ พบคนไทยใช้ยาเสพติด ประเภท กัญชา-กระท่อมมาเป็นอันดับ1  ส่วนเฮโรอีนเพิ่มขึ้นในกลุ่มคนขายแรงว่างงาน วอนหามาตรการช่วยนักวิชาการ ขณะที่ม.สงขลา ลุยวิจัยใช้“กระท่อม”ตามวิถีชาวบ้านกับผลกระทบต่อสมองคาดรู้ผลปลายปี63  


ศูนย์ศึกษาปัญหาการเสพติด (ศศก.) ร่วมกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดเสวนาออนไลน์ หัวข้อ “วันยาเสพติดโลก: กรณีกระท่อม กัญชา ยาบ้า ไอซ์” เนื่องในวันต่อต้านยาเสพติดโลกประจำปี 2563 


            

น.ส.รุ่งอรุณ ลิ้มฬหะภัณ รักษาการผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนการควบคุมปัจจัยเสี่ยงหลัก สสส. กล่าวว่า ปัญหายาเสพติดถือเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญอันดับต้นด้านสุขภาพและปัญหาสังคม ของทุกประเทศทั่วโลก โดยมีทั้งที่ถูกกฎหมาย เช่น เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ บุหรี่ เป็นสาเหตุก่อให้เกิดโรคทางกายและจิต อุบัติเหตุและความรุนแรง เป็นสารตั้งต้นที่เยาวชนอาจใช้ก่อนนำไปสู่การเสพยาเสพติดชนิดอื่นที่รุนแรงมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะยาเสพติดผิดกฎหมายตามพ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ เช่น เมทแอมเฟตามีน กัญชา พืชกระท่อม เฮโรอีน เป็นต้น ทั้งนี้ปัญหายาเสพติดในเด็กและเยาวชนไทยยังน่าเป็นห่วง โดยเฉพาะกลุ่มเด็กอายุ12-19 ปี ที่มีการใช้สารเสพติดมากถึงร้อยละ 3.72ในปี 2562โดยครึ่งหนึ่งกำลังเรียนอยู่ในชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น กลุ่มสารเสพติดที่ใช้เพิ่มขึ้น คือ กัญชา พืชกระท่อม และเฮโรอีน และมีแนวโน้มการใช้สารเสพติดผิดกฎหมายมากกว่าหนึ่งชนิดเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง 

           


 รศ.พญ.รัศมน  กัลยาศิริ ผู้จัดการศูนย์ศึกษาปัญหาการเสพติด (ศศก.) กล่าวว่า จากการสำรวจสถานการณ์ด้านยาเสพติดในประเทศไทยรอบ12เดือนที่ผ่านมา ซึ่งคาบเกี่ยวกับช่วงที่มีการระบาดของโควิด-19 ด้วย พบว่าผู้ที่ใช้สารเสพติด4.6%เป็นสัดส่วนที่ค่อนข้างสูง สารเสพติดที่ใช้มากที่สุดคือ กัญชา กระท่อม รองลงมาคือ ยาบ้า ยาไอซ์ ส่วนฝิ่น เฮโรอีน มอร์ฟีน แม้มีการใช้น้อย แต่ยังพบว่ามีการใช้อยู่ประปราย ที่ค่อนข้างอันตรายคือไอซ์กับยาบ้า ซึ่งมีฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาททำให้ไม่ง่วง แต่หากใช้ปริมาณสูงจะมีสารโคปามีนหลั่งออกมาเยอะทำให้มีอาการหลาดระแวง ไม่อยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง รู้สึกมีคนจะมาทำร้าย หากใช้ด้วยวิธีการฉีดเข้าเส้นทำให้เกิดการติดเชื้อเอชไอวี และเชื้อไวรัสตับอับเสบชนิดซีได้อีกด้วย ส่วนกัญชา จะมีสารทีเอชซี (THC) และซีบีดี (CBD) ซึ่งสารซีบีดีเป็นสารที่ถูกนำไปใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ ขณะที่สารทีเอชซีจะมีฤทธิ์ทำให้เสพติดได้ หากใช้มากเสี่ยงเกิดอาการคล้ายกับยาบ้าคือ หวาดระแวง หูแว่วประสาทหลอน 

           

 รศ.พญ.รัศมน กล่าวว่า สำหรับกระท่อม มีฤทธิ์กดประสาท ที่ต้องระวังคือการเอาไปผสมกับยารักษาโรคอื่นๆ ที่ออกฤทธิ์ ต่อสมอง ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท ซึ่งจะทำให้เกิดอันตรายได้ เพราะทำให้เราคาดเดาผลข้างเคียงไม่ได้ โดยเฉพาะการผสมกับยาที่ออกฤทธิ์กดประสาทแบบเดียวกันยิ่งทำให้ออกฤทธิ์รุนแรงได้ ขณะที่เฮโรอีนค่อนข้างลดลงในปีที่ผ่านมา แต่ยังเจอในกลุ่มอาชีพเกษตรกร คนรับจ้าง คนว่างงาน ซึ่งกลุ่มเหล่านี้มีแนวโน้มมากขึ้น ทั้งนี้เฮโรอีนจะมีฤทธิ์กดสมอง กดการหายใจ หากใช้ปริมาณมากจะทำให้เกิดภาวะหยุดหายใจ และเสียชีวิตได้ และหากใช้แบบฉีดเข้าเส้นก็เสี่ยงติดเชื้อเอชไอวี และไวรัสตับอักเสบชนิดซี  

            

“สิ่งที่ต้องนำมาพูดถึงด้วยคือ การสำรวจรอบ12เดือนในการใช้สารเสพติดช่วงโควิด ใน15จังหวัด อายุ15 ปี ขึ้นไป 1,825 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 20-24 พ.ค.พบว่า ถ้าเป็นสารเสพติดที่ใช้เพื่อการสังสรรค์ หรือเข้าสังคม เช่น เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือกระท่อมที่มีการผสมยาตัวอื่นๆ จะใช้น้อยลง แต่สารเสพติดที่ใช้เดี่ยวๆใช้เท่าๆกัน มีบางส่วนใช้น้อยลง อาจเพราะรู้ผลกระทบด้านสุขภาพ ทั้งนี้เทรนด์ทั่วโลกจะมองว่าคนที่เสพสารเสพติดที่ต้องได้รับการรักษา ไม่ใช่อาชญากร เพื่อให้คนที่พลาดไปเสพติดกล้าที่จะเข้ามาสู่การรักษา ซึ่งสัมพันธ์กับผลรักษาที่ดีในคนที่สมัครใจ ถ้ามองว่าสารเสพติดก็เหมือนโควิด-19 หากเราป้องกันตัวดี สวมหน้ากากอนามัย ล้างมือสม่ำเสมอ และเว้นระยะห่างดี ก็ช่วยลดความเสี่ยงติดเชื้อได้ แต่ถ้าเกิดติดเชื้อขึ้นมา อย่าลืมว่าเราก็ยังมีทางรักษา การติดสารเสพติดก็เช่นเดียวกัน” รศ.พญ.รัศมน กล่าว

            

ด้าน ผศ.ดร.สมชาย ศรีวิริยะจันทร์ อาจารย์คณะวิทยาศาสตร์ หาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ กล่าวว่า สารไมทราไจนีน (Mitragynine) เป็นสารที่อยู่ในพืชกระท่อม กระตุ้นให้ร่างกายตื่นตัว ทำงานทน แต่มีงานวิจัยว่าสารดังกล่าวหากใช้ไปนานๆ จะมีผลต่อการทำงานของสมอง ทั้งด้านความคิด ความจำ ความสามารถในการตัดสินใจ แต่ยังไม่มีการศึกษาอย่างเป็นทางการ ดังนั้น ตนจึงจะมีการศึกษาความสัมพันธ์ของระดับไมทราไจนีน ในเลือดกับผลกระทบต่อสมองของคนที่ใช้พืชกระท่อมในกลุ่มตัวอย่างผู้ใช้พืชกระท่อมตามวิถีชาวบ้านเป็นประจำ คือมากกว่า1 ปี กลุ่มตัวอย่างที่ ต.น้ำพุ อ.บ้านนาสาร จ.สุราษฎธานี จำนวน 220 คน คาดว่าจะมีความคืบหน้าในปลายปี 2563 และทันต่อการใช้ประกอบการพิจารณากฎหมายเกี่ยวกับพืชกระท่อมได้

           

 “เราจะดูว่าสารไมทราไจนีนในเลือดเทียบกับภาวะสมอง มีความสัมพันธ์กันหรือไม่ หากกินมากขึ้นจะทำให้สาระสำคัญในเลือดมีความเข้มข้นมากขึ้นแค่ไหน เทียบกับคนที่กินไม่มาก และคนที่มีความเข้มข้นของสารดังกล่าวเยอะนั้นจะทำให้การทำงานของสมองแย่ลงจริงหรือไม่ แย่ลงมากกว่าคนที่กินน้อยหรือไม่ นี่คือสิ่งที่เราต้องหาคำตอบ เพราะที่ผ่านมาไม่เคยมีการศึกษาเรื่องนี้อย่างจริงจัง”

            

นางสาวสุพจนี ชุติดำรง ผู้อำนวยการส่วนพัฒนาสารสนเทศด้านลดอุปสงค์ สำนักพัฒนาการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด (สนง.ป.ป.ส.) กล่าวว่า จากการทำงานที่ผ่านมา ปปส. พบว่าชุมชนและสังคมมีอิทธิพลสูงทำให้เด็กเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด ดังนั้นแผนการดำเนิงานด้านการป้องกันยาเสพติดในกลุ่มเยาวชน จะแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ1.เน้นสร้างเสริมความรู้ ทัศนคติ เจตคดิ ภูมิคุ้มกันให้กับตัวบุคคลทั้งที่เป็นกลุ่มเสี่ยง และไม่ใช่กลุ่มเสี่ยง 2.ต้องสร้างพื้นที่โดยรอบให้เป็นพื้นที่ปลอดภัยมากขึ้น เพราะเชื่อว่าหากเด็กและเยาวชนเห็นว่ายาเสพติดเป็นสิ่งไม่ดี บวกกับการได้อยู่ในชุมชนที่ดี โอกาสที่เค้าจะเติบโตเป็นผู้ที่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดก็มีเปอร์เซ็นต์สูงเช่นกัน

            

ด้าน นายสุขวิชัย  อิทธิสุคนธ์ หรือ ม๊อบ เยาวชนที่เคยมีประสบการณ์คนในครอบครัวเกี่ยวข้องกับยาเสพติด กล่าวว่า ตนโตมาท่ามกลางปัญหายาเสพติด ชุมชนเป็นพื้นที่เสี่ยง เมื่อปี2546 ตอนนั้นอายุ6ขวบ ได้สูญเสียพ่อที่ถูกวิสามัญในข้อหาผู้ค้ารายใหญ่ ส่วนลุงเสียชีวิตเพราะเสพยาเกินขนาด และเคยถูกคนในชุมชนใช้ให้ไปส่งยาเพื่อแลกกับเงิน เหตุการณ์ที่ผ่านมากลายเป็นแรงกะตุ้นที่สอนให้เริ่มรู้จักปฏิเสธ และเมื่อมีโอกาสได้ทำกิจกรรมรณรงค์เกี่ยวกับยาเสพติด ทำให้มีภูมิคุ้มกันหนักแน่นในอุดมการณ์ พร้อมที่จะทำกิจกรรมเพื่อสังคม โดยการชักจูงเด็กในชุมชนมาทำกิจกรรมยามว่าง เช่น ตีกลองยาว เชิดสิงโตเด็ก ทำสิ่งประดิษฐ์ เพื่อป้องกันไม่ให้เด็กกลุ่มเสี่ยงเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด และยังเป็นการช่วยให้ชุมชน ครอบครัวเข้มแข็งมีความสุข.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

car blocked hydrant delaying Thai temple fire control in New York

เปิดภาพรถจอดขวางหัวจ่ายน้ำดับเพลิงในเหตุไฟไหม้วัดไทย

นิวยอร์ก 13 ก.พ. – หน่วยงานดับเพลิงในนครนิวยอร์กโพสต์ภาพรถยนต์ที่จอดกีดขวางหัวจ่ายน้ำดับเพลิง เป็นเหตุให้เกิดความล่าช้าในการดับไฟไหม้วัดไทยในเขตบรองซ์ของนครนิวยอร์ก ที่เกิดขึ้นเมื่อเช้าวานนี้ตามเวลาท้องถิ่น พร้อมกับเปิดเผยสาเหตุที่ทำให้เกิดไฟไหม้ นายโรเบิร์ต เอส. ทักเกอร์ ผู้อำนวยการสำนักงานดับเพลิงนิวยอร์กหรือเอฟดีเอ็นวาย (FDNY) โพสต์ในแพลตฟอร์มเอ็กซ์ (X) แสดงความเสียใจกับเหตุไฟไหม้ในเขตบรองซ์ และขอบคุณสภากาชาดและหน่วยงานฉุกเฉินที่ช่วยเหลือผู้ประสบภัย พร้อมกับโพสต์ภาพรถยนต์ที่จอดกีดขวางหัวจ่ายน้ำดับเพลิง โดยระบุว่า นับเป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 3 วันที่เจ้าหน้าที่ดับเพลิงประสบปัญหาหัวจ่ายน้ำดับเพลิงถูกกีดขวาง และครั้งนี้เป็นหัวจ่ายน้ำดับเพลิงที่อยู่ตรงข้ามกับอาคารที่เกิดไฟไหม้ วินาทีที่มีค่าต้องสูญเปล่าเพราะยวดยานที่จอดกีดขวางหัวจ่ายน้ำดับเพลิงอย่างผิดกฎหมาย เรื่องนี้เป็นยิ่งกว่าการทำผิดกฎหมาย เพราะเป็นเรื่องของความเป็นความตาย ด้านเอฟดีเอ็นวายโพสต์เอ็กซ์ว่า เหตุไฟไหม้วัดอุษาพุฒยาราม เมื่อราว 06.00 น. วานนี้ตามเวลาท้องถิ่น ทวีความรุนแรงจากการเตือนภัยระดับ 2 เป็นระดับ 3 เจ้าหน้าที่มากกว่า 40 หน่วย รวม 150 นาย พยายามควบคุมไฟที่ไหม้ 2 อาคาร แต่น่าเสียใจที่มีผู้เสียชีวิต 2 คน มีรถยนต์คันหนึ่งจอดกีดขวางหัวจ่ายน้ำดับเพลิงซึ่งอยู่ใกล้ที่เกิดเหตุที่สุด และเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นหลายครั้งในช่วงไม่นานมานี้ เอฟดีเอ็นวายโพสต์ในเวลาต่อมาว่า เหตุไฟไหม้ดังกล่าวเป็นอุบัติเหตุที่เกิดจากเครื่องทำความร้อนแบบพกพาสัมผัสกับวัสดุที่ติดไฟง่าย พร้อมกับย้ำว่า […]

ปลอดภัยแล้ว นร.ถูกเก๋งฝ่าไฟแดงพุ่งชนขณะข้ามทางม้าลาย

รถเก๋งฝ่าไฟแดงชนนักเรียนขณะข้ามทางม้าลายหน้าโรงเรียนดัง คนขับอ้างไม่ใช่คนพื้นที่ มัวมองดู GPS ส่วนน้องนักเรียนปลอดภัยแล้ว

ภูมิใจไทยวอล์กเอาต์

ประชุมร่วมรัฐสภา วุ่นตั้งแต่เริ่ม “ภท.” วอล์กเอาต์ยกพรรค

“ภูมิใจไทย” วอล์กเอาต์ยกพรรคตั้งแต่เริ่มถกแก้ รธน. “ไชยชนก” บอกขัดต่อคำวินิจฉัยศาล ด้าน “หมอเปรม” โร่เสนอญัตติด่วนขอให้ศาล รธน.ตีความก่อน ลั่น เป็นคนมีวุฒิภาวะ-ทำอะไรรอบคอบ บรรจงเขียนอย่างสุดยอดในชีวิต ทำ “ณัฐวุฒิ” โวยยังไม่เห็นเอกสาร สุดท้ายประธาน “วันนอร์” สั่งพักประชุม 15 นาที

ข่าวแนะนำ

ฆ่าอำพราง 3 ศพ พ่อแม่ลูก ยัดใส่รถกระบะ

สะเทือนขวัญ! ฆ่าอำพราง 3 ศพ พ่อแม่ลูก ยัดใส่รถกระบะทิ้งบ้านร้างริมถนน พื้นที่ อ.คลองขลุง จ.กำแพงเพชร ญาติเผยหายตัวไปตั้งแต่ 12 ม.ค.68

“ไทด์ เอกพันธ์” ให้ข้อมูล DSI คดีแตงโม มั่นใจจำได้ทุกบาดแผล

“ไทด์ เอกพันธ์” เข้าให้ข้อมูล DSI คดีแตงโม ยืนยันจำได้ทุกบาดแผล มั่นใจ รอยกรีดลึกยาวโคนขาขวาด้านในไม่ใช่สาเหตุจากใบพัดเรือ ขณะที่ศาลนัดฟังคำพิพากษา 23 พ.ค.นี้

สภาล่ม

สภาฯ ล่ม​ องค์ประชุมไม่ครบ วอล์กเอาต์ 2 รอบ

ล่ม​จนได้​ องค์ประชุมไม่ครบ​ หลัง​มีวอล์กเอาต์ 2 รอบ และมีมติไม่เลื่อนญัตติด่วน “หมอเปรม” ขอให้ส่งศาลตีความก่อนถกร่างแก้ไข รธน.