กรุงเทพฯ 12 พ.ค. – ธ.ก.ส. จับมือ กรมทรัพยากรน้ำบาดาล หนุนเจาะบ่อน้ำบาดาลหาแหล่งน้ำบาดาลให้กับ ชุมชนที่มีศักยภาพมาเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ
รศ.ดร.วิโรจ อิ่มพิทักษ์ ที่ปรึกษาอธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาล เป็นประธานและสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความเข้าใจ ที่ห้องประชุมจำเนียรสาร ชั้น 24 ธ.ก.ส. สำนักงานใหญ่ บางเขน ว่า การส่งเสริมและสนับสนุนการใช้น้ำบาดาลเพื่อการพัฒนาการเกษตรอย่างยั่งยืนระหว่าง นายอภิรมย์ สุขประเสริฐ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) กับ นายศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาล เพื่อร่วมจัดหาน้ำต้นทุนและยกระดับกลุ่มเกษตรกรจากกลุ่มผู้ใช้น้ำ เป็นกลุ่มผู้ผลิต และนำไปสู่การ พัฒนาภาคเกษตรเพื่อยกระดับเศรษฐกิจฐานรากอย่างยั่งยืน
นายอภิรมย์ สุขประเสริฐ ผู้จัดการ ธ.ก.ส. กล่าวว่า ธ.ก.ส. มุ่งยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของเกษตรกร โดยสนับสนุนการดำเนินงานของภาคเกษตรไทยทั้งในด้านเงินทุนและให้ความรู้ในการบริหารจัดการ รวมถึงปัจจัยพื้นฐานสำคัญในการทำเกษตรกรรม คือ “น้ำ” โดย ธ.ก.ส. และกรมทรัพยากรน้ำบาดาล จะดำเนินงานแบบบูรณาการร่วมกันในการคัดเลือกชุมชน องค์กรชุมชน ที่มีศักยภาพให้สามารถเข้าถึงโครงการพัฒนาแหล่งน้ำบาดาลเพื่อการเกษตร ด้วยการสนับสนุนการขุดเจาะบ่อน้ำบาดาล สนับสนุนน้ำต้นทุน ในการนำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันและสามารถนำไปบริหารจัดการเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจให้กับชุมชนใหม่ จำนวน 10 ชุมชน และพัฒนากลุ่มผู้ใช้น้ำเดิม จำนวน 793 ชุมชน
นอกจากนี้ยังส่งเสริมอาชีพกลุ่มผู้ผลิตเพื่อก้าวสู่ธุรกิจชุมชนที่เข้มแข็ง ภายใต้สโลแกน “ตั้ง เติม ต่อ อนุรักษ์” โดยสนับสนุนการตั้งกลุ่มใหม่ สำหรับชุมชนที่มีความพร้อมในการพัฒนา แต่ยังไม่มีกลุ่มเป็นรูปธรรม เติมสินเชื่อให้กับกลุ่มที่มีศักยภาพทางธุรกิจผ่านกระบวนการ ค้นหาโอกาสและศักยภาพของกลุ่มหรือชุมชน พร้อมจัดทำแผนธุรกิจ และผสานความร่วมมือจากหน่วยงานภาคีเพื่อเติมองค์ความรู้ เสริมเทคโนโลยีและนวัตกรรม เติมสินเชื่อเพื่อพัฒนาสู่ธุรกิจชุมชน ต่อยอดธุรกิจ สำหรับกลุ่มที่ดำเนินธุรกิจชุมชนและมีความเข้มแข็ง ให้ก้าวสู่ธุรกิจที่มั่นคงและยั่งยืน รวมถึงการอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน ผ่านการส่งเสริมการปลูกต้นไม้ภายใต้โครงการธนาคารต้นไม้และสนับสนุนการเติมน้ำลงสู่ดินภายใต้โครงการสร้างฝายชะลอน้ำเฉลิมพระเกียรติ (ฝายมีชีวิต) เพื่อสร้างความสมดุลให้กับระบบนิเวศอย่างยั่งยืน ซึ่งคาดว่าจะมีเกษตรกรได้รับประโยชน์จากโครงการไม่น้อยกว่า 8,000 ครัวเรือน
นายศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาล กล่าวว่า ปัจจุบันสถานการณ์ภัยแล้งของประเทศไทย เกิดขึ้นเร็วกว่าทุกปี ทั้งทวีความรุนแรงและขยายพื้นที่ในวงกว้างมากยิ่งขึ้น สร้างความเสียหายเดือดร้อนให้แก่ประชาชนและเกษตรกรเป็นจำนวนมาก เกิดสภาวะขาดแคลนน้ำ ทำให้พืชผลทางการเกษตรเสียหาย ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศ กรมทรัพยากรน้ำบาดาล เล็งเห็นความสำคัญในภาคเกษตรกรรมมาโดยตลอด จึงได้ดำเนินการโครงการพัฒนาแหล่งน้ำบาดาลเพื่อการเกษตรมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2553 โดยในปีพ.ศ. 2563 นี้ ได้ร่วมแก้ไขปัญหาให้กลุ่มเกษตรกรทั่วประเทศมากกว่า 793 แห่ง โดยพัฒนาระบบบริหารจัดการน้ำบาดาลให้เกิดประสิทธิภาพมากขึ้น พร้อมทั้งคำนึงถึงการใช้พลังงานทางเลือก คือ พลังงานแสงอาทิตย์ ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งความร่วมมือ กับ ธ.ก.ส. ในครั้งนี้ เป็นการ บูรณาการความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน และภาคีการพัฒนาต่าง ๆ โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร ผู้ที่เคยเป็นกลุ่มผู้ใช้น้ำ ให้กลายเป็นกลุ่มผู้ผลิตที่มีคุณภาพ สร้างความเข้มแข็งในระดับเศรษฐกิจฐานรากของประเทศให้มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนได้ต่อไป.-สำนักข่าวไทย