กรุงเทพฯ 9 พ.ค. – ไทยออยล์-จีซี แจ้งผลประกอบการ พิษโควิด-19 ส่งผลกระทบขาดทุนสตอกน้ำมัน รวมกันเกือบ 2 หมื่นล้านบาท
บมจ.ไทยออยล์ (TOP) แจ้งผลประกอบการไตรมาส 1/2563 ขาดทุนสุทธิ 13,754 ล้านบาท ลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1,984 ล้านบาท และลดลงจากกำไรสุทธิ 4,408 ล้านบาทในไตรมาส 1/2562 หลังราคาน้ำมันดิบปรับลงแรงในช่วงสิ้นไตรมาส 1/2563 เฉลี่ยที่ 33.7 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากราคาปิดสิ้นไตรมาส 4/62 ที่อยู่ระดับ 64.9 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ส่งผลให้มีขาดทุนจากสตอกน้ำมันสูงถึง 10,772 ล้านบาท
ไทยออยล์ แจ้งด้วยว่าได้ ตั้งงบลงทุนช่วง 5 ปี (2563-2567) เป็นจำนวนรวมทั้งสิ้น 3,486 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยส่วนใหญ่เป็นโครงการพลังงานสะอาด (Clean Fuel Project) 3,263 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นโครงการขยายกำลังการกลั่นเป็น 400,000 บาร์เรล/วัน และเพิ่มประสิทธิภาพโรงกลั่น โดยมีเป้าหมายแล้วเสร็จไตรมาส 1/2566 ส่วนเงินลงทุนที่เหลือ 223 ล้านเหรียญสหรัฐ ใช้สำหรับโครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินการ ได้แก่ โครงการปรับปรุงหนว่ยผลิตต่าง ๆ ให้มีประสิทธิภาพ (Efficiency) ,ต่อเนื่อง (Reliability) และมีความยืดหยุ่น (Flexibility) ตลอดจนโครงการลงทุนทางด้านโลจิสติกส์และสาธารณูปโภค และการลงทุนอื่น ๆ เช่น โครงการ Digital Transformation โดยมีงบประมาณลงทุนเฉพาะปี 2563 รวมทั้งสิ้น 1,788 ล้านเหรียญสหรัฐ
ด้าน บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล หรือ GC แจ้งผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2563 ขาดทุนสุทธิ 8,784 ล้านบาท จากรายได้การขายที่ลดลง และมาร์จิ้นธุรกิจปิโตรเคมีลดลง ประกอบกับราคาน้ำมันดิบดูไบปรับลดลงมากในสิ้นไตรมาส ส่งผลให้ขาดทุนสตอกรวม 8,906 ล้านบาทและยังมีผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนอีก 2,193 ล้านบาทกระทบต่อผลประกอบการ
ส่วนคาดแนวโน้มตลาดและธุรกิจในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ประเมินราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยอยู่ที่ 30-38 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ท่ามกลางความไม่แน่นอนการควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ขณะที่ส่วนต่างราคาน้ำมันดิบกับน้ำมันดีเซลที่ 11-12 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล พร้อมทั้งปรับแผนลดการผลิตน้ำมันอากาศยานจากความต้องการใช้ที่ลดลงทำให้คาดว่าทั้งปี 2563 จะมีอัตราการใช้กำลังการกลั่น 97% จากเป้าหมาย 100% ด้านส่วนต่าง (สเปรด) ผลิตภัณฑ์พาราไซลีนในช่วงครึ่งหลังของปีนี้คาดว่าจะฟื้นขึ้นจากอุปสงค์ขั้นปลายน้ำยังเติบโตดี. -สำนักข่าวไทย