บุรีรัมย์ 28 เม.ย.- ความคืบหน้ากรณีผู้ป่วยโรคไตวานญาติผู้ป่วยข้างเตียงไปเช็กยอดเงินจากตู้เอทีเอ็ม หลังได้รับข้อความว่ามีเงินเยียวยา 5,000 บาทเข้ามาในบัญชี แต่เมื่อเช็กยอดชายคนดังกล่าวอ้างว่ามีเงินเข้าแค่ 2,000 บาท หายไป 3,000 บาท จึงเข้าแจ้งความไว้ ขณะที่พ่อตาชายที่ถูกกล่าวหา ไม่เชื่อลูกเขยจะแอบกดถอนเงินไป ยืนยันลูกเขยไม่เดือดร้อนเรื่องเงินทอง และเป็นคนดี ล่าสุด ตำรวจออกหมายเรียกเข้าให้ปากคำวันพรุ่งนี้
ภาพกล้องวงจรปิดภายในโรงพยาบาลนางรอง พบชายที่ถูกกล่าวหาว่ากดเงินเยียวยาไป 3,000 บาท เดินเข้า-ออกตึกของโรงพยาบาล และบริเวณหน้าโรงพยาบาล วันเดียวกันกับที่นำสมุดบัญชีไปปรับดู แล้วพบว่ามีการถอนเงินออกจากบัญชี 3,000 บาท
หลังจากนายณรงค์ศักดิ์ คล้ายกระแส อายุ 47 ปี ซึ่งนอนรักษาตัวด้วยโรคไต ที่โรงพยาบาลนางรอง ลงทะเบียนขอรับเงินเยียวยาตามโครงการ “เราไม่ทิ้งกัน” ซึ่งจะได้รับเงินเดือนละ 5,000 บาท จำนวน 3 เดือน และขอให้ญาติผู้ป่วยข้างเตียง ซึ่งเป็นชายอายุ 30 ปี เอาบัตร ATM ไปกดดูเงินว่าเข้าหรือยัง เพราะมีข้อความเข้ามายืนยันแล้วว่า มีสิทธิได้รับเงิน แต่ชายคนดังกล่าวกลับมาแจ้งว่า มีเงินเข้าเพียง 2,000 บาท
เมื่อสอบถามผู้รู้ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “เป็นไปไม่ได้” เงินจะต้องเข้า 5,000 บาท จึงเข้าใจว่าชาวคนดังกล่าวแอบกดเงินไป 3,000 บาท จึงให้นางสุทาทิพย์ แก้วนะทะ น้องสาว ไปร้องทุกข์กับ ร.ต.อ.มานพ รอยประโคน รองสารวัตร (สอบสวน) สภ.นางรอง จ.บุรีรัมย์ ให้ช่วยติดตามผู้ถูกกล่าวหามาสอบปากคำ ล่าสุด ร.ต.อ.มานพ เจ้าของคดี ออกหมายเรียกชายคนดังกล่าวมาให้ปากคำ ตามที่ถูกกล่าวหา
ด้านนายจักร์กฤษ ร่วมกูล ปลัดอำเภอฝ่ายความมั่นคงอำเภอนางรอง ลงพื้นที่บ้านหนองโพธ์ ต.ชุมแสง อ.นางรอง บ้านของครอบครัวคนที่ถูกกล่าวหาว่านำบัตรเอทีเอ็มของนายณรงศักดิ์ ผู้ป่วยโรคไต ไปกดเงินจากตู้เอทีเอ็ม แต่ไม่พบตัวชายคนดังกล่าว เนื่องจากไปขับรถส่งของที่ต่างจังหวัด อีก 1-2 วันจะเดินทางกลับมา
จากการสอบถามนายดาว (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 54 ปี พ่อตาของผู้ถูกกล่าวหา บอกว่า ช่วงที่ไปนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลลูกเขยก็จะไปคอยดูแลเฝ้าไข้ และซื้อของให้ตลอด ซึ่งวันเกิดเหตุลูกเขยจะออกไปซื้อของข้างนอก ผู้ป่วยที่อยู่เตียงติดกันก็ได้วานให้ลูกเขยไปช่วยนำบัตรเอทีเอ็มไปกดเช็กยอดเงินในบัญชีให้ แต่ถูกกล่าวหาว่าน่าจะเป็นคนถอนเงินไป 3,000 บาท ก็รู้สึกเสียใจทั้งที่หวังดีไปช่วยเช็กให้ แต่กลับมาถูกกล่าวหาว่าถอนเงินไป ยืนยันว่าครอบครัวตนเองไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงินทอง ส่วนลูกเขยก็มีงานทำมั่นคง และเป็นคนชอบทำบุญ เชื่อว่าลูกเขยไม่ได้กดถอนเงินของผู้ป่วยคนดังกล่าวอย่างแน่นอน.-สำนักข่าวไทย