ปักกิ่ง 12 มี.ค.- เว็บไซต์หนังสือพิมพ์เซาท์ไชนามอร์นิงโพสต์ของฮ่องกงเผยว่า จีนกำลังผลิตหน้ากากอนามัยได้วันละกว่า 100 ล้านชิ้น จากที่ปกติผลิตได้วันละ 20 ล้านชิ้น หรือราวครึ่งหนึ่งของทั้งโลก และอาจเริ่มส่งออกให้แก่ประเทศอื่น
รายงานระบุว่า กำลังผลิตที่เพิ่มขึ้นนี้เป็นผลจากธุรกิจต่าง ๆ ในจีนหันมาผลิตหน้ากากอนามัยเพิ่มขึ้นโดยได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล โรงงานระดับครอบครัวแห่งหนึ่งในเมืองฉวนโจว มณฑลฝูเจี้ยน ริมฝั่งช่องแคบไต้หวันเผยว่า ผลิตผ้าอ้อมและสินค้าเด็กมานานกว่า 10 ปี เริ่มหันมาผลิตหน้ากากอนามัยครั้งแรกเมื่อเดือนก่อนเพราะตลาดต้องการมากเนื่องจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 ระบาด โรงงานซึ่งมีคนงาน 100 คนได้เพิ่มสายการผลิตเพื่อผลิตหน้ากากให้ได้วันละ 200,000 ชิ้น แม้วัตถุประสงค์หลักคือการผลิตเพื่อการค้า แต่ด้วยการสนับสนุนจากรัฐบาลทั้งในรูปของเงินอุดหนุน การลดภาษี สินเชื่อปลอดดอกเบี้ย การเร่งรัดอนุมัติเรื่องขยายการผลิต และการช่วยบรรเทาปัญหาขาดแคลนคนงาน โรงงานทุกแห่งจึงต้องผลิตเพื่อตอบสนองความต้องการของรัฐบาลมากกว่าคิดเรื่องส่งออก
ศักยภาพการผลิตที่เพิ่มขึ้นมหาศาลนี้เป็นผลจากการปรับเปลี่ยนนโยบายอุตสาหกรรมให้เสมือนกับว่าประเทศกำลังอยู่ในภาวะสงคราม รัฐบาลสั่งการให้โรงงานของรัฐเป็นผู้นำการผลิตหน้ากากอนามัยระดับประเทศ จากนั้นกลไกการผลิตในภาคอุตสาหกรรมก็เดินตาม ชิโนเปก บริษัทน้ำมันและก๊าซของรัฐเพิ่มการผลิตวัตถุดิบสำหรับผลิตหน้ากากอนามัย เช่น โพลีโพรพิลีน (PP) โพลีไวนิลคลอไรด์ (PVC) ตั้งแต่เดือนมกราคม และได้เปิดสายการผลิตผ้าชนิดไม่ถักทอที่กรุงปักกิ่งเมื่อไม่กี่วันก่อน ตั้งเป้าผลิตให้ได้วันละ 4 ตัน ซึ่งจะนำไปผลิตหน้ากากอนามัยแบบเอ็น95 ได้ 1.2 ล้านชิ้น หรือหน้ากากอนามัยแบบใช้แล้วทิ้ง 6 ล้านชิ้น แม้แต่บริษัทเทคโนโลยีก็เริ่มผลิตหน้ากากอนามัยด้วยเช่นกัน
นายลุยจิ ดี ไมโอ รัฐมนตรีต่างประเทศอิตาลีเผยหลังสนทนาทางโทรศัพท์กับนายหวัง อี้ รัฐมนตรีต่างประเทศจีนว่า อิตาลีซึ่งมีผู้ป่วยและเสียชีวิตนอกจีนมากที่สุดตกลงจะนำเข้าหน้ากากอนามัย 2 ล้านชิ้น เครื่องระบายอากาศ 1,000 เครื่อง เครื่องช่วยหายใจ 100,000 เครื่อง ชุดป้องกัน 200,000 ชุด และชุดตรวจหาเชื้อ 50,000 ชุดจากจีน เพราะเพื่อนบ้านอย่างเยอรมนีและฝรั่งเศสห้ามส่งออกหน้ากากอนามัยเนื่องจากในประเทศเองมีจำนวนน้อย อย่างไรก็ดี แม้ทางการจีนไม่มีโควต้าว่าจะต้องเก็บหน้ากากอนามัยไว้ใช้ในประเทศจำนวนเท่าใด แต่จะยังคงต้องให้ความสำคัญต่อความต้องการในประเทศก่อนเป็นอันดับแรก.- สำนักข่าวไทย