กรุงเทพฯ 10 มี.ค.-คณะโฆษกศาลปกครอง ห่วงใยขาดแคลนหน้ากากอนามัย ป้องกันโควิด-19 ชี้เป็นหน้าที่รัฐต้องป้องกันโรค เพราะไม่ใช่สถานการณ์ทั่วไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (10 มี.ค.) คณะโฆษกศาลปกครอง ประกอบด้วย นายประวิตร บุญเทียม ตุลาการหัวหน้าคณะศาลปกครองสูงสุด ในฐานะโฆษกศาลปกครอง นายวชิระ ชอบแต่ง รองอธิบดีศาลปกครองกลาง และ น.ส.สายทิพย์ สุคติพันธ์ รองอธิบดีศาลปกครองชั้นต้นประจำศาลปกครองสูงสุด ในฐานะรองโฆษกศาลปกครอง ได้ตอบข้อซักถามสื่อมวลชนถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งขณะนี้มีเหตุการณ์ตามมาในเรื่องการจัดหน้ากากอนามัยให้เพียงพอแก่ประชาชน และบุคลากรทางแพทย์ในการปฏิบัติหน้าที่รักษาโรคทั่วไปและการป้องกันรักษาโรคที่กำลังระบาด หากประชาชนหรือบุคลากรทางการแพทย์ได้รับความเดือดร้อน จะมาฟ้องคดีนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข หรืออธิบดีกรมควบคุมโรค ฐานละเลยต่อหน้าที่ที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติได้หรือไม่
นายประวิตร กล่าวว่า กฎหมายกำหนดให้กระทรวงสาธารณสุขและกรมควบคุมโรค มีหน้าที่ทั่วไปในการป้องกันและควบคุมโรค โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกิดภาวะโรคระบาด และกรมควบคุมโรคได้มีประกาศให้เป็นโรคติดต่ออันตราย ก็ยิ่งย้ำถึงหน้าที่ของรัฐที่จะต้องจัดการป้องกันและควบคุม หากประชาชนหรือบุคลากรทางการแพทย์ฟ้องคดีเข้ามา ศาลก็จะต้องพิจารณาว่าเป็นคดีที่ศาลมีอำนาจรับคำฟ้องไว้พิจารณาได้หรือไม่ และผู้ที่ถูกฟ้องมีหน้าที่เรื่องหน้ากากอนามัยหรือไม่ หรือเป็นเรื่องของหน่วยงานใด นอกจากนี้ต้องพิจารณาว่าเป็นหน้าที่โดยตรงในเรื่องดังกล่าว หรือเป็นเรื่องทางนโยบาย หากสามารถรับคำฟ้องไว้พิจารณาได้แล้ว จึงจะเข้าไปพิจารณาเนื้อหาแห่งคดีต่อไปว่ามีการละเลยต่อหน้าที่หรือไม่
ด้าน น.ส.สายทิพย์ กล่าวถึงความห่วงใยต่อสถานการณ์ดังกล่าว ว่า หากเป็นในสถานการณ์ปกติ การจัดหาหน้ากากอนามัยอาจจะไม่ใช่บริการสาธารณะที่รัฐจะต้องจัดสำหรับทุกคน หน้ากากอนามัยเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีลักษณะเป็นการใช้เพื่อป้องกันการติดต่อของโรค ดังนั้นถ้าเป็นสถานการณ์ปกติที่ไม่ได้มีโรคติดต่อร้ายแรง หน้ากากอนามัยก็ถือเป็นสินค้าชนิดหนึ่ง ซึ่งผลิตมาแล้วก็จัดขายไปในระบบของธุรกิจทั่วไป แต่เมื่อเป็นสถานการณ์พิเศษที่มีโรคติดต่ออันตรายเกิดขึ้น ตรงนี้หน้าที่ของการจัดหา Medical Supply ทั้งหมด ซึ่งไม่ใช่เฉพาะเพียงหน้ากากอนามัย แต่หมายถึงชุดอุปกรณ์เครื่องมือ และเวชภัณฑ์ทั้งหมด ต้องถือว่าเป็นหน้าที่ของหน่วยงานที่รับผิดชอบด้านการป้องกันโรคที่จะต้องตระหนักถึงความจำเป็นที่จะต้องจัดหาให้เพียงพออย่างน้อยก็สำหรับบุคคลากรซึ่งทำหน้าที่อยู่ ซึ่งเรื่องนี้อาจจะไม่ใช่การใช้กลไกทางกฎหมายโดยตรงทั้งหมด แต่เป็นเรื่องในทางนโยบายและบริหารจัดการของหน่วยงานที่รับผิดชอบ หากเห็นว่ามีความจำเป็นที่จะต้องปฏิบัติภารกิจป้องกัน หรือให้การรักษาโรคติดต่อร้ายแรงแล้วจะต้องจัดหาวัสดุอุปกรณ์อะไรบ้างสำหรับใช้ในภาวะเช่นนี้ ซึ่งหากมองในมิติของการบริหารภาครัฐ ก็เป็นหน้าที่ตามกฎหมายของกระทรวงสาธารณสุข ที่จะจัดหาให้โรงพยาบาลที่เป็นหน่วยงานที่บริการสาธารณะของตัวเองให้มีอุปกรณ์ที่จำเป็นขั้นพื้นฐานเพียงพอ อย่างน้อยก็ตามมาตรฐานการประกอบวิชาชีพ
“ในความเห็นส่วนตัวเห็นว่าสำหรับบุคลากรทางการแพทย์ที่ต้องปฏิบัติหน้าที่ที่มีความเสี่ยงสูง เขาจะต้องได้รับการจัดให้มีวัสดุอุปกรณ์เครื่องมือที่จำเป็น หน่วยงานต้นสังกัดของเขามีหน้าที่จะต้องจัดให้มีวัสดุอุปกรณ์เหล่านั้นเพื่อให้บุคลากรทำงานอยู่ในสภาพการทำงานที่มีความปลอดภัย เหมือนกับกรณีโรงงานอุตสาหกรรมที่จะต้องมีการกำหนดมาตรฐานในงานบางประเภท ซึ่งต้องมีอุปกรณ์เพื่อให้ผู้ปฏิบัติงานปลอดภัย อันนี้ก็เช่นเดียวกัน หมอหรือบุคลากรที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการป้องกันโรค ซึ่งเป็นหน้าที่ที่มีความเสี่ยง กระทรวงสาธารณสุขหรือหน่วยงานที่เป็นต้นสังกัด มีหน้าที่ต้องจัดหาให้เขามีวัสดุอุปกรณ์ที่จะช่วยให้เขาทำงานในสภาพการทำงานที่ปลอดภัย” น.ส.สายทิพย์ กล่าว
ด้าน นายวชิระ กล่าวว่า หากถือว่าเรื่องนี้เป็นส่วนที่มีความเกี่ยวข้องกับการจัดทำบริการสาธารณะในเรื่องการสาธารณสุข การจัดหาอุปกรณ์ต่าง ๆ ซึ่งไม่เฉพาะแต่หน้ากากอนามัยเท่านั้น แต่รวมถึงอุปกรณ์อื่น ๆ อีกด้วย ทั้งนี้เพื่อให้บุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาลไว้ใช้ในการปฏิบัติหน้าที่ จึงถือว่ามีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องจัดหาสิ่งเหล่านี้ให้โดยรีบด่วน เพียงพอ และทันกับสถานการณ์.-สำนักข่าวไทย