ครม.เศรษฐกิจเห็นชอบมาตรการเยียวยาลดผลกระทบโควิด -19

ทำเนียบฯ 6 มี.ค. – ครม.เศรษฐกิจเห็นชอบมาตรการเยียวยา ลดผลกระทบไวรัสโควิด-19 ย้ำโอนเงินช่วยเหลือรายย่อยช่วงสั้นเดือนละ 1 พันบาท เพียง 2 เดือน เริ่ม เม.ย.นี้ ย้ำช่วยเหลือทุกกลุ่มทั้งเติมสภาพคล่อง ยืดเวลาชำระหนี้ หักลดหย่อนภาษี นำกองทุน SSF พยุงตลาดหุ้น ยอมรับใช้เวลาดูแลปัญหาช่วงแรก 6 เดือน


ในการประชุม ครม.เศรษฐกิจ โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน เห็นชอบชุดมาตรการดูแลและเยียวยาผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 ชุดที่ 1 จากนั้นเตรียมเสนอ ครม.พิจารณาวันที่ 10 มีนาคมนี้ เพื่อใช้เป็นมาตรการชั่วคราว 2-3 เดือนนี้ หวังดูแลผู้ได้รับผลกระทบทุกกลุ่ม  และพร้อมโอนผ่านพร้อมเพย์ให้กับกลุ่มผู้มีรายได้น้อยคนละ 1,000 บาท เป็นเวลา 2 เดือน เริ่มเดือนเมษายนนี้ เพื่อลดภาระค่าครองชีพ เพราะต่างประเทศช่วยเหลือค่าใช้จ่ายเหมือนกัน การลดภาระค่าไฟฟ้า น้ำประปา เป็นรายเดือนในช่วงเวลากำหนด นายกรัฐมนตรีย้ำว่ารัฐบาลพร้อมร่วมมือกับทุกฝ่ายช่วยกันฟันฝ่าปัญหาครั้งนี้ไปให้ได้  ช่วงแรกจึงต้องออกมาตรการเร่งด่วนช่วยเหลือและพร้อมใช้จ่ายเงินอย่างระมัดระวัง  


นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวยอมรับว่า ปัญหาการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 แพร่ระบาดหลายประเทศทั่วโลกส่งผลกระทบหลายกลุ่มทั้งภาคการผลิต ภาคบริการ ไม่ใช่เพียงด้านการท่องเที่ยว รัฐบาลหารือกับทุกฝ่ายอย่างระมัดระวัง เมื่อออกมาตรการชุดแรกไปแล้วจะประเมินผล หากเหตุการณ์ลุกลามบานปลาย พร้อมออกมาตรการชุดใหม่มาดูแลเพิ่มเติม ยอมรับการโอนเงินช่วยเหลือเป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของมาตรการทั้งหมด ขณะนี้ต้องใช้ทุกมาตรการดูแลทุกส่วน ยอมรับว่าปัญหาครั้งนี้แพร่ระบาดไปหลายประเทศทั่วโลก จึงสร้างปัญหาเกิดขึ้นกับไทย 

นายสมคิด กล่าวว่า รัฐบาลเป็นห่วงดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับลดลงค่อนข้างมากจากหลายปัจจัยเข้ามากระทบ แนวทางช่วยเหลือที่ผ่านมาจะใช้กองทุนพยุงหุ้น แต่ครั้งนี้พร้อมดูแลตลาดหุ้นด้วยการแก้ไขกองทุนรวมเพื่อส่งเสริมการออมระยะยาว (SSF) ปรับเงื่อนไขให้เหมือนกับกองทุน LTF  ที่เคยให้สิทธิ์รายย่อยซื้อหน่วยลงทุนลดหย่อนภาษี 500,000 บาทต่อปี เพื่อเป็นกำลังหลักเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย โดยกองทุน SSF 17 แห่ง เตรียมเปิดจำหน่ายต้องลงทุนในหลักทรัพย์ตลาดหุ้นไทยมากกว่าร้อยละ 65 ของเงินกองทุน หลัง ครม.เห็นชอบต้องลงทุนก่อนเดือนมิถุนายน 2563 เพื่อพยุงตลาดหุ้นไทย ยอมรับว่าต้องตั้งรับสถานการณ์ครั้งนี้อย่างใกล้ชิด เพื่อใช้มาตรการอื่นเข้ามาดูแลเพิ่มเติม 


นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า มาตรการดูแลและเยียวยาผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 ชุดที่ 1 ได้แก่ มาตรการทางการเงิน เพื่อบรรเทาดูแลผู้ประกอบการ การลดภาระต้นทุน บรรเทาไม่ให้มีการเลิกจ้างงาน  การปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ จากสินเชื่อซอฟท์โลน โดยให้ธนาคารออมสินปล่อยสินเชื่อแบงก์รัฐ และธนาคารพาณิชย์คิดดอกเบี้ยร้อยละ 0.01 จากนั้นปล่อยกู้ต่อให้รายย่อยร้อยละ 2 โดยมีธนาคารพาณิชย์พร้อมเข้าร่วมโครงการจำนวนมาก เพื่อลดการผ่อนชำระรายเดือน ทั้งพักเงินต้น และขยายเวลาชำระหนี้ให้ยาวขึ้น ตลอดจนปัญหาหนี้ส่วนบุคคล หากมีปัญหาหนี้บัตรเครดิตชำระร้อยละ 5 ของวงเงินค้าง จากเดิมชำระขั้นต่ำร้อยละ 10 

สำหรับมาตรการภาษี หากผู้ประกอบการจ้างงานต่อ เพื่อการลดปัญหาตกงาน สำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ให้นำค่าใช้จ่ายจ้างงานหักลดหย่อนภาษีได้ถึง 3 เท่า นับตั้งแต่ 1 เมษายน – 31 กรกฎาคม 2563 เพื่อดูแลพนักงานลูกจ้าง รวมถึงการเร่งรัดคืนเงินภาษีมูลค่าเพิ่มให้กับผู้ประกอบการนิติบุคคลในประเทศ เพื่อให้มีเงินหมุนเวียน ตลอดจนการลดการหักภาษี ณ ที่จ่ายให้กับรายย่อย ภาระดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นช่วงนี้ยังหักลดหย่อนภาษีได้ และขอให้หลายหน่วยงานลดค่าธรรมเนียม ค่าตอบแทนเพื่อผ่อนคลายให้กับเอกชน  และการให้เอกชนชะลอนำส่งเงินเข้ากองทุนประกันสังคม เพื่อให้มีเงินหมุนเวียนในกิจการ นอกจากนี้ ยังแก้ไข พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้าง เพื่ออำนวยความสะดวกต่อการเร่งรัดเบิกจ่ายการลงทุน เพื่อให้งบประมาณปี 2563 ออกสู่ระบบเร็วขึ้น และยังได้หารือกับสำนักงบประมาณจัดตั้งกองทุนรองรับปัญหาฉุกเฉิน หากสถานการณ์ดีขึ้นอาจไม่จำเป็นต้องใช้เงินดังกล่าวได้ 

นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ธปท.ได้ประกาศผ่อนคลายกฎเกณฑ์ เพื่อให้สถาบันการเงินปล่อยสินเชื่อผ่อนปรนมากขึ้น รวมถึงการปรับโครงสร้างหนี้ หรือการยืดระยะเวลาชำระหนี้ให้กับลูกหนี้ของสถาบันการเงิน ครอบคลุมผลกระทบจากปลายปี 2562 ทั้งลูกหนี้ NPL และลูกหนี้ที่กำลังมีปัญหา จึงกำหนดให้ย้อนหลังถึง 1 มกราคม 2563-31 ธันวาคม 2564 เป็นเวลา 2 ปี เพื่อให้ธนาคารเจรจาลดชำระหนี้เงินต้นและขยายเวลาชำระดอกเบี้ยให้นานขึ้น 

นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รองเลขานุการนายกรัฐมตรีฝ่ายการเมือง ในฐานะเลขานุการที่ประชุม ครม.เศรษฐกิจ เปิดเผยว่า ที่ประชุม ครม.เศรษฐกิจห่วงปัญหาการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 กระทบต่อเศรษฐกิจอย่างมาก หลังจากได้รับปัจจัยลบทั้งงบประมาณปี 2563 ออกสู่ระบบล่าช้า สงครามทางการค้า การส่งออกชะลอตัว สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) จึงคาดการณ์เศรษฐกิจมีปัญหาร้ายแรงกว่าที่คาดการณ์ไว้ลุกลามไปหลายประเทศทั่วโลก ยอมรับจีดีพีไตรมากแรกอาจไม่ดีเหมือนไตรมาส 4 ปีที่ผ่านมา แต่ช่วงไตรมาส 2 เงินลงทุนภาครัฐเริ่มขับเคลื่อนออกสู่ระบบ แต่การท่องเที่ยวยังย่ำแย่ จากนั้นค่อยส่งเสริมการท่องเที่ยวเพิ่มเติมภายหลัง ช่วงนี้จึงต้องช่วยลดภาระค่าเช่าแผงลอย ร้านค้าของพ่อค้า แม่ค้ารายย่อย และการขับเคลื่อนมาตรการอื่นเพิ่มเติม.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ชนแล้วหนี! 2 หนุ่มกลัวถูกจับดึงสลักระเบิดดับ

2 หนุ่มชนแล้วหนี โบกรถมาขึ้นสามล้อเครื่อง ตำรวจตามกระชั้นชิด ตัดสินใจดึงสลักระเบิด แต่สะดุดล้มระเบิดตูมสนั่นดับ 1 ส่วนอีกคน ถูกจับโดยละม่อม

“ไบเดน” เปิดทำเนียบขาวต้อนรับ “ทรัมป์” ถกถ่ายโอนอำนาจ

ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐเปิดห้องทำงานรูปไข่ในทำเนียบขาวหารือนายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดี ซึ่งต่างให้คำมั่นการถ่ายโอนอำนาจจะเป็นไปอย่างราบรื่นที่สุด

“อี้ แทนคุณ” เผยคดีใหม่ “ฟิล์ม” ชวนลงทุนคล้าย forex เสียหายกว่า 60 ล้าน

“อี้ แทนคุณ” เผยคดีใหม่ “ฟิล์ม รัฐภูมิ” ชักชวนลงทุนในดูไบ คล้าย forex ความเสียหายกว่า 60 ล้านบาท ขณะที่อีกฝ่ายอ้างนำเงินไปลงทุนจริงแต่ขาดทุน

ข่าวแนะนำ

“หนุ่ม กรรชัย” งดเคลียร์ “ฟิล์ม” ย้ำดำเนินคดีถึงที่สุด

“หนุ่ม กรรชัย” ประกาศตัดสัมพันธ์ “ฟิล์ม รัฐภูมิ” ย้ำดำเนินคดีถึงที่สุด งดเคลียร์ ซัดเป็นคนไร้ศักดิ์ศรี ชี้เรื่องนี้ไม่ต้องเตือน ให้ย้อนไปดูที่บ้านได้สั่งสอนหรือไม่

เริ่มแล้ว ประเพณียี่เป็งหรือลอยกระทงเชียงใหม่

ประเพณียี่เป็ง หรือลอยกระทง จ.เชียงใหม่ ปีนี้เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว ซึ่งเต็มไปด้วยแสงสีจากแสงไฟที่ประดับไปทั่วเมือง และความงดงามทางวัฒนธรรมมากมาย ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวจำนวนมาก ท่ามกลางอากาศเย็นสบาย

“จิราพร” สั่งตรวจสอบปมคลิปเสียงอ้างชื่อ-จ่อแจ้งความเอาผิด

“จิราพร สินธุไพร” ยืนยันไม่รู้จักนักร้องเรียนหญิง ที่แอบอ้างว่าเป็นคณะทำงาน ประสานฝ่ายกฎหมายเร่งตรวจสอบคลิปเสียง เพื่อแจ้งความดำเนินคดี