ทำเนียบรัฐบาล 30 ก.ย. – กนอ.ชงท่าเรือมาบตาพุดเฟส 3 ให้ ครม.เห็นชอบพรุ่งนี้ เตรียมลงนามสัญญาร่วมทุนกับบริษัทร่วมค้ากัลฟ์-พีทีที แทงค์ ทันที 12.30-13.00น. รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินลงนามกับผู้ชนะประมูล 15 ต.ค.นี้
นายคณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการ คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) หรือคณะกรรมการอีอีซี แถลงผลการประชุม ครั้งที่ 9/2562 ซึ่งมีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ว่า คณะกรรมการอีอีซีพิจารณาและรับทราบความคืบหน้าขั้นตอนการดำเนินงานโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) โดยเห็นชอบความก้าวหน้าโครงการท่าเรือมาบตาพุดระยะที่ 3 (ช่วงที่1) ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ซึ่ง กนอ.จะเสนอโครงการฯ เข้าสู่การพิจารณาคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันพรุ่งนี้ (1 ต.ค.) เมื่อผ่านความเห็นชอบแล้ว กนอ.จะลงนามสัญญาร่วมทุนกับบริษัทร่วมค้ากัลฟ์-พีทีที แทงค์ ทันทีในช่วงเวลาประมาณ 12.30-13.00 น .ที่ทำเนียบรัฐบาล
นอกจากนี้ คณะกรรมการอีอีซี ยังรับทราบความคืบหน้าโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน เกี่ยวกับการวางกำหนดการส่งมอบที่ดินให้เสร็จโดยเร็ว ซึ่งการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) จะส่งมอบที่ดินร้อยละ 72 ภายใน 1 ปี หลังลงนามในสัญญาร่วมลงทุน เพื่อให้เอกชนเริ่มก่อสร้างโครงการ และที่ประชุมยังเห็นชอบให้ รฟท.ประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องภายในสัปดาห์นี้ เพื่อสรุปแผนย้ายสาธารณูปโภคต่าง ๆ ออกนอกเขตที่ดินที่จะก่อสร้างโครงการ ซึ่งที่ดินนี้มีสัดส่วนประมาณร้อยละ 22 แผนย้ายจะต้องเสร็จก่อนวันที่ 15 ตุลาคม 2562 ที่ รฟท.จะมีการลงนามในสัญญากับภาคเอกชนผู้ชนะการประมูล คือ กลุ่มกิจการร่วมค้าบริษัท เจริญโภคภัณฑ์โฮลดิ้ง จำกัด และพันธมิตร (กลุ่ม CPH) หรือกลุ่มซีพี
สำหรับการย้ายสาธารณูปโภค เช่น กระทรวงพลังงานเร่งรัดการรื้อย้ายท่อก๊าซยาว 12 กม. ยกเสาส่งไฟฟ้าแรงสูง 16 จุด กระทรวงมหาดไทยเร่งรัดย้ายท่อระบายน้ำขนาดใหญ่ 4 จุด ย้ายเสาส่งไฟฟ้าแรงสูงยาว 14 กม. ยกเสาส่งไฟฟ้าแรงสูง 39 จุด ย้ายท่อประปาขนาดใหญ่ยาว 2 กม. และกระทรวงคมนาคม โดย รฟท.ใช้สิทธิ์เร่งรัดให้ย้ายท่อน้ำมันของบริษัทเอกชน ระยะทาง 44 กม. รวมทั้งเร่งรัด พ.ร.ฎ.เวนคืนที่ดิน พ.ศ. …ทำให้การส่งมอบพื้นที่โครงการเป็นไปตามแผนงานและก่อสร้างเสร็จตามเป้าหมาย
นางสาวสมจิณณ์ พิลึก ผู้ว่าการ กนอ. กล่าวว่า โครงการท่าเรือมาบตาพุดระยะที่ 3 ช่วงที่ 1 ภายหลังจากคณะกรรมการคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (PPP) NET Cost ได้ข้อยุติการเจรจาเงื่อนไขในสัญญาการเข้าร่วมลงทุนของกลุ่มกิจการร่วมค้ากัลฟ์ และพีทีที แทงค์ (บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) และ บริษัท พีทีที แทงค์ เทอร์มินัล จำกัด) ที่ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการอัยการสูงสุด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พรุ่งนี้ กนอ.นำเข้าสู่การพิจารณาของ ครม. หากเห็นชอบจะมีการลงนามกับภาคเอกชนวันพรุ่งนี้ที่ทำเนียบรัฐบาล
สำหรับโครงการท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุดระยะที่ 3 (ช่วงที่1) มีมูลค่าการลงทุน 45,480 ล้านบาท ระยะเวลา 30 ปี ซึ่งทาง กนอ.จะจัดพื้นที่ส่งมอบให้กับบริษัทเอกชนเข้าดำเนินการออกแบบรายละเอียดการพัฒนาในส่วนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน หรือ infrastructure ทันที คาดว่าจะพัฒนาเสร็จและเปิดให้บริการนักลงทุนตามเป้าหมายปี 2568 และเชื่อว่าจะเป็นโครงการขนาดใหญ่สามารถสร้างความเชื่อมั่นด้านการลงทุนทั้งในและต่างชาติได้อย่างแน่นอน
นอกจากนี้ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) จะจัดตั้งคณะกรรมการกำกับดูแลโครงการท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุดระยะที่ 3 ให้เป็นไปตามสัญญาร่วมลงทุนโดยมี 5 หน่วยงาน ประกอบด้วย ผู้แทนจาก กนอ. ผู้แทนจาก สกพอ. ผู้แทนจากสำนักงานอัยการสูงสุด ผู้แทนจากกระทรวงอุตสาหกรรม และผู้แทนจากบริษัทเอกชนร่วมลงทุน เพื่อให้การดำเนินงานการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญซึ่งเป็น 1 ใน 5 EEC Project List ของอีอีซี เป็นไปตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เป็นกลไกขับเคลื่อนการลงทุนที่จะเกิดขึ้นในระยะต่อไป และเป็นส่วนสำคัญสำหรับการนำเข้า – ส่งออกขนถ่ายสินค้ารองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมปิโตรเคมีในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้ การพัฒนาโครงการท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3 แบ่งเป็นพื้นที่ถมทะเลหลังท่าเพื่อใช้งานประมาณ 550 ไร่ และพื้นที่บ่อเก็บกักตะกอนดินเลนระหว่างก่อสร้างประมาณ 450 ไร่ ความยาวหน้าท่ารวมกันประมาณ 2,200 เมตร ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับการขนถ่ายกลุ่มสินค้าของเหลว และกลุ่มสินค้าพลังงาน (น้ำมันและก๊าซธรรมชาติ) ที่มีความต้องการใช้บริการเพิ่มขึ้นในอนาคต การพัฒนาโครงการท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุดระยะที่ 3 แบ่งออกเป็น 2 ช่วง ประกอบด้วย ช่วงที่ 1 การลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ภาคเอกชนที่ผ่านการคัดเลือกจากคณะกรรมการฯครั้งนี้จะสามารถเข้าพัฒนาได้ภายหลังจากที่ทำการลงนามในสัญญาร่วมลงทุน (PPP) ซึ่งการร่วมลงทุนในครั้งนี้ภาคเอกชนจะได้สิทธิในการพัฒนาพื้นที่ท่าเรือประมาณ 200 ไร่ รวมมูลค่าการลงทุน ประมาณ 47,900 ล้านบาท แบ่งเป็น กนอ.ร่วมลงทุนเป็นมูลค่าปัจจุบันสุทธิไม่เกิน 12,900 ล้านบาท และภาคเอกชน 35,000 ล้านบาท ได้แก่ การขุดลอกและถมทะเล พื้นที่ 1,000 ไร่ แบ่งเป็น พื้นที่ใช้ประโยชน์ 550 ไร่ และพื้นที่เก็บกักตะกอน 450 ไร่ การขุดลอกร่องนํ้า และแอ่งกลับเรือ การก่อสร้างเขื่อนกันคลื่น การก่อสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐานการติดตั้งอุปกรณ์ควบคุมการเดินเรือ ท่าเทียบเรือบริการ และท่าเรือก๊าซรองรับปริมาณการขนถ่ายก๊าซได้ 10 ล้านตันต่อปี คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ภายในปี 2568
ช่วงที่ 2 จะเป็นการลงทุนพัฒนาก่อสร้างในส่วนของท่าเรือ กนอ.จะออกทีโออาร์ เพื่อประกาศเชิญชวนภาคเอกชนที่สนใจเข้าร่วมพัฒนา โดยเอกชนเป็นผู้ลงทุนพัฒนาท่าเทียบเรือสินค้าเหลวรองรับปริมาณขนถ่ายสินค้าเหลวได้ 4 ล้านตันต่อปี คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างปี 2566 และเปิดให้บริการปี 2568 ซึ่งจะใช้เงินลงทุนประมาณ 4,300 ล้านบาท และงานก่อสร้างพื้นที่หลังท่า 150 ไร่ เงินลงทุน 3,200 ล้านบาท เพื่อรองรับธุรกิจเกี่ยวเนื่อง เนื่องจากปัจจุบันการใช้งานท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด มีการใช้งานใกล้เต็มศักยภาพรองรับแล้ว จึงจำเป็นต้องขยายเป็นระยะที่ 3 เพื่อรองรับการขนถ่ายก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) และสินค้าเหลวสำหรับอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ซึ่งคาดว่าจะสามารถรองรับการขนถ่ายก๊าซธรรมชาติและสินค้าเหลวได้เพิ่มอีก 14 ล้านตันต่อปีในอีก 30 ปีข้างหน้า
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าคณะกรรมการอีอีซี ยังรับทราบและเห็นชอบความคืบหน้าด้านต่าง ๆ ของโครงการอีอีซี ดังนี้ การให้บริการแบบเบ็ดเสร็จ EEC – OSS โดย สกพอ.ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางบริการรับคำขออนุมัติ อนุญาต และประสานหน่วยงานเจ้าของกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ซึ่งภายหลังปรับปรุงแล้ว จะลดเวลาและขั้นตอนได้ถึง 50% โดยใช้ระยะเวลาดำเนินการเพียง 78 วัน จากเดิม 158 วัน ใช้เอกสารประกอบเพียง 42 รายการ จากเดิม 60 รายการ
ส่วนแนวทางการพัฒนาบุคลากรในอีอีซี สกพอ.ประมาณการความต้องการบุคลากรใน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย จำนวน 475,000 ตำแหน่ง ใน 5 ปี ในขณะที่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) แจ้งความต้องการ 16,567 ตำแหน่งของผู้ลงทุนที่ขอเข้ามาลงทุนปีที่ผ่านมา ระยะเร่งด่วน 20,000 คนในปี งบประมาณ 2563 โดยมีแนวทางการดำเนินการ อาทิ จัดทำหลักสูตรระยะสั้น บูรณาการร่วมกับ 4 กระทรวง กระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ และนวัตกรรม ร่วมมือเอกชน อุปกรณ์ ครูผู้สอน สถานที่ฝึกงาน เป็นต้น
ส่วนโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก กพอ.รับทราบตามที่ศาลปกครองเห็นตามคณะกรรมการคัดเลือกและมติอุทธรณ์ของ กพอ. ไม่รับเอกสาร 2 กล่อง (กล่องข้อเสนอแผนธุรกิจ และกล่องข้อเสนอผลตอบแทนทางการเงิน) ของกลุ่มกิจการร่วมค้าธนโฮลดิ้ง ซึ่งบริษัทฯ ได้ยื่นคำร้องกับศาลปกครองสูงสุด เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2562 อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการคัดเลือกจะดำเนินการต่อโดยกำหนดพิจารณาเอกสารทางเทคนิคให้จบภายในวันที่ 9 ตุลาคม 2562 และเปิดซองการเงิน เพื่อหาผู้เข้าเจรจาสัญญา คาดว่าจะเสร็จเดือนตุลาคม 2562
ด้านโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ท่าเทียบเรือ F กพอ.รับทราบตามที่ศาลปกครองมีมติให้ คำพิพากษาให้ถอนฟ้องคำสั่งของคณะกรรมการคัดเลือกฯ ให้กิจการร่วมค้าเอ็นซีพีไม่ผ่านการประเมินซอง 2 ให้การเพิกถอนคำสั่งดังกล่าว มีผลตั้งแต่วันที่คณะกรรมการคัดเลือกฯ มีคำสั่งและให้มีผลต่อไป จนกว่า มีคำพิพากษาของศาล ถึงที่สุด ยกฟ้องผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (กพอ.) และผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 (คณะอนุกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ฯ) และคณะกรรมการคัดเลือก ฯ จะเร่งดำเนินการต่อไป.-สำนักข่าวไทย