กรุงเทพฯ 18 มิ.ย.- “ณะรงค์ศักดิ์ จิวากานันต์” CEO GC คนใหม่สานต่อกลยุทธ์ 3 Steps Plus เดินหน้าผลักดันมาบตาพุดสู่การเป็น Hub เอเชียตะวันออกเฉียงใต้
นายณะรงค์ศักดิ์ จิวากานันต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC และนายทศพร บุณยพิพัฒน์ ผู้จัดการใหญ่ (President) บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC ร่วมแสดงวิสัยทัศน์ สร้างการเติบโตที่ยั่งยืนของ GC ด้วยการเดินหน้าสานต่อกลยุทธ์ 3 Steps Plus รักษาฐานให้แข็งแรง เพิ่มความสามารถในการแข่งขัน สร้าง Synergy ปรับพอร์ตโฟลิโอ มุ่งสู่กลุ่มธุรกิจที่มีมูลค่าสูงและคาร์บอนตํ่า (High Value & Low Carbon Business) รุกธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ ด้วย allnex และ NatureWorks อีกทั้งสร้างโอกาสการเติบโตของมาบตาพุด และพัฒนา Strategic Partnership เพื่อตอบสนองเมกะเทรนด์ของอุตสาหกรรมแห่งอนาคตสู่การเป็น Hub ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พร้อมทำงานร่วมกับกลุ่ม ปตท. ในโครงการดักจับและกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ และต่อยอดเป็นธุรกิจแห่งอนาคต
นายณะรงค์ศักดิ์ กล่าวว่า GC นำความพร้อมด้านนวัตกรรม ศักยภาพการผลิตผลิตภัณฑ์เคมีภัณฑ์และพลาสติกชีวภาพที่เรามีประสบการณ์ มีความเชี่ยวชาญ มาต่อยอดและตอบสนองแนวโน้มความต้องการของอุตสาหกรรมใหม่ตามเทรนด์โลก สำหรับกลยุทธ์ Step Out หรือการสร้างการเติบโตในกลุ่มธุรกิจต่างประเทศ มีบทบาทอย่างมากต่อการเติบโตในอนาคตของบริษัทฯ โดยกลุ่มธุรกิจที่มีมูลค่าสูงและคาร์บอนต่ำ (High Value & Low Carbon Business) จะมุ่งเน้นการขยายตลาดและสร้างสรรค์เคมีภัณฑ์ผ่าน allnex ที่มีโรงงานและฐานธุรกิจสารเคลือบผิว (Coating Resins) อยู่ 34 แห่งทั่วโลก สำหรับการพัฒนาฐานการผลิต (Hub) ของ allnex ในทวีปต่างๆ นั้น allnex ประสบความสำเร็จในการพัฒนา China Hub จึงได้นำมาต่อยอดขยายฐานผลิตในกลุ่มประเทศที่มีศักยภาพการเติบโต ได้แก่ โรงงาน Mahad รัฐมหาราษฏระ ประเทศอินเดีย และแห่งใหม่ในอนาคต โรงงานมาบตาพุด ประเทศไทย เพื่อเป็น Hub ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมุ่งเน้นผลิตภัณฑ์ในตลาดเคลือบผิวในกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มเติบโตสูง ได้แก่ ยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์และเซมิคอนดักเตอร์ บรรจุภัณฑ์ โลหะอุตสาหกรรม เฟอร์นิเจอร์และการตกแต่งเคลือบผิวอาคารแบบพิเศษ (Special Decoration)
“ด้วยจุดแข็งของนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดในด้านความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานและทำเลที่ตั้งอันเป็นศูนย์กลางการส่งออกสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้และตลาดโลก วันนี้เราจึงได้เห็นแนวโน้มความสนใจการลงทุนในอุตสาหกรรมที่ทันสมัยเกิดขึ้นมากมายในประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้าน นอกจากนี้ อัตราการใช้เคมีภัณฑ์ต่อประชากรยังมีโอกาสเติบโตอีกมากเมื่อเทียบกับทวีปอื่น ๆ ซึ่ง GC มีศักยภาพและความพร้อมตอบสนองความต้องการและสามารถร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์กับลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมได้หลากหลาย จึงเป็นโอกาสทางธุรกิจของ GC” นายณะรงค์ศักดิ์ กล่าว
ขณะที่กลุ่มธุรกิจ Bio และ Green ซึ่ง NatureWorks ผู้ผลิตไบโอพลาสติกประเภทโพลิแลกติกแอซิด (PLA) ชั้นนำของโลก ใช้เป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตเม็ดพลาสติกชีวภาพชนิดย่อยสลายได้ สามารถนำไปใช้ในหลากหลายแอปพลิเคชัน เช่น แคปซูลกาแฟ ถุงชา และ วัสดุสำหรับการพิมพ์ 3 มิติ (3D Printing) ด้วยคุณสมบัติที่มีประสิทธิภาพเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและตอบโจทย์เทรนด์ความยั่งยืน โดย GC ถือหุ้น 50% ร่วมกับ Cargill อยู่ระหว่างการก่อสร้างโรงงานผลิต PLA ครบวงจรแห่งใหม่ ที่นครสวรรค์ไบโอคอมเพล็กซ์ (Nakhonsawan Bio Complex – NBC) มีกำหนดแล้วเสร็จในปี 2568 ซึ่งจะเป็น Bio Complex แห่งแรกของประเทศไทย โดยใช้น้ำตาลจากอ้อยเป็นวัตถุดิบหลักเพื่อผลิต Lactic Acid ซึ่งนำไปใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิต PLA มีกำลังการผลิต 75,000 ตันต่อปี ช่วยเสริมความแข็งแกร่งด้าน Bio และ Green ของประเทศ สร้างโอกาสแก่ภาคเกษตรกรรมและพัฒนาเศรษฐกิจไปอีกขั้น จะทำให้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตและส่งออกเพื่อตอบสนองความต้องการวัสดุเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Material) สู่ตลาดโลก
ในส่วนของกลยุทธ์ Step Up หรือการสร้างความยั่งยืนทางธุรกิจ GC สานต่อแนวทางการบูรณาการหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน ภายใต้กรอบของ ESG ( Environmental – Social – Governance สิ่งแวดล้อม สังคม ธรรมาภิบาล) พร้อมเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Target) ภายในปี 2593 แนวปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม ได้แก่ การทำงานร่วมกับบริษัทในกลุ่ม ปตท. ในโครงการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือ Carbon Capture and Storage (CCS) ทั้งในการศึกษาเรื่อง Carbon Capture Technology ผ่านการลงทุนใน Corporate Venture Capital (CVC) และการศึกษาโอกาสในการนำไฮโดรเจนคาร์บอนต่ำ (Blue/Green Hydrogen) ไปใช้และพัฒนาโมเดลธุรกิจเพื่อต่อยอดเป็นธุรกิจแห่งอนาคต
นายทศพร บุณยพิพัฒน์ President GC กล่าวว่า แนวทางที่สำคัญในการยกระดับความสามารถในการแข่งขัน และการรักษาฐานทางธุรกิจที่แข็งแกร่งอย่างรอบด้านของ GC เราจะเน้นการปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานของโรงงานในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดอย่างต่อเนื่อง เพื่อลดต้นทุนการผลิตและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม เชื่อมโยง Value Chain ให้เกิดประโยชน์และคุ้มค่าที่สุด รวมถึงสามารถรองรับการพัฒนาผลิตภัณฑ์เคมีมูลค่าสูงที่เกิดจากความร่วมมือกับพันธมิตรต่าง ๆ ในอนาคตได้เป็นอย่างดี นับเป็นการบริหารการลงทุนอย่างครบวงจรเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน
สำหรับ ผลประกอบการไตรมาส 1 ของปี 2567 ที่ผ่านมา GC มีรายได้การขายรวม 155,187 ล้านบาท มาจากกลุ่มผลิตภัณฑ์ อะโรเมติกส์และโอเลฟินส์ ตามลำดับ มีกำไรจากการดำเนินงานปกติจำนวน 703 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า โดยบริษัทฯ รับรู้ขาดทุนจากการดำเนินการปกติและรับรู้รายการที่ไม่ได้เกิดจากการดำเนินงานปกติ ทำให้มีผลขาดทุนสุทธิรวม 606 ล้านบาท สะท้อนถึงความสามารถในการรับมือและดำเนินธุรกิจท่ามกลางสถานการณ์และสภาพแวดล้อมที่ไม่แน่นอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้กลยุทธ์ 3 Steps Plus ได้สร้างความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนของ GC ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ส่งผลให้ได้รับรางวัลเกียรติยศในระดับประเทศและระดับนานาชาติมากมาย เช่น เป็นบริษัทหนึ่งเดียวในโลกที่ได้รับการจัดอันดับจากดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ (Dow Jones Sustainability Indices: DJSI) ในกลุ่ม World Index ให้เป็นที่ 1 ในกลุ่มธุรกิจเคมีภัณฑ์ 5 ปีต่อเนื่อง โดย S&P Global และล่าสุดกับการเป็นบริษัทไทยหนึ่งเดียวในกลุ่มธุรกิจเคมีภัณฑ์ และ เป็น 1 ใน 7 องค์กรไทย จากทั้งหมด 350 องค์กรในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ที่ได้รับการประกาศเป็นองค์กรชั้นนำด้านสภาพอากาศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ประจำปี 2567 (Asia-Pacific Climate Leaders 2024) โดย Financial Times จากการวิเคราะห์ข้อมูลโดยทีมผู้เชี่ยวชาญของ Statista ตอกย้ำความมุ่งมั่นสู่การเป็นองค์กรคาร์บอนต่ำ. -517-สำนักข่าวไทย