นนทบุรี 14 ส.ค. – ประชุม กรอ.พาณิชย์นัดแรกวางแนวทางทำงานร่วมกัน ตั้งวอร์รูมทบทวนเป้าส่งออกให้ชัดเจน หลังเจอปัญหาเทรดเวอร์ บาทแข็ง เร่งเจาะตลาดทุกด้านหนักขึ้น
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวภายหลังประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนด้านการพาณิชย์ (กรอ.) นัดแรก ว่า เพื่อติดตามสถานการณ์ทางการส่งออกที่ขณะนี้ได้รับผลกระทบจากหลายปัจจัย โดยเฉพาะสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนที่กำลังจะมีปัญหาเพิ่มขึ้น หลังจากประธานาธิบดีสหรัฐประกาศขึ้นภาษีสินค้าจีนรอบใหม่ กระทรวงพาณิชย์จึงเดินหน้าใช้กลไกความร่วมมือทุกภาคส่วนเริ่มประชุม กรอ.พาณิชย์ครั้งแรกได้ข้อสรุปหารือแนวทางการเพิ่มมูลค่าการส่งออกให้เห็นเป็นรูปธรรมภายใน 3 – 6 เดือน
อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมมีมติร่วมกันจัดตั้งวอร์รูมในลักษณะการทำงานแบบกลุ่ม หรือ Working Group เพื่อติดตามสถานการณ์ และหาข้อสรุปแนวทางเชิงรุก และการตั้งรับให้ไทยยังรักษาการส่งออกในตลาดโลก ซึ่งกำหนดตลาดเร่งด่วน ได้แก่ CLMV จีน อินเดียและเอเชียใต้ รวมถึงอาเซียน และตะวันออกลาง เนื่องจากยังมีศักยภาพสูงในการเพิ่มตัวเลขส่งออก ซึ่งจะต้องเร่งรัดการเจาะตลาด การเจาะเป็นรายสินค้าและบริการให้เห็นเป็นรูปธรรมภายใน 3-6 เดือน
นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์รับที่จะหารือกับส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อปลดล็อกปัญหาติดขัดของการค้าชายแดนทั้งการเจรจาเปิดด่านถาวรเพิ่มเติม และขยายเวลาเปิดด่าน และผลัดกันเปิดใช้ด่านที่พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานแล้วแต่ยังติดขัด ส่วนการทบทวนเป้าหมายการส่งออกปีนี้ที่ตั้งไว้ร้อยละ 3 นั้น ยังไม่มีการประเมินใหม่ เนื่องจากจะต้องดูแผนการทำงานของวอร์รูมให้สามารถเดินหน้าได้ก่อน รวมทั้งในช่วงสิ้นเดือนสิงหาคมนี้ยังได้เชิญทูตพาณิชย์มาร่วมประชุมอีกครั้ง เนื่องจากขณะนี้มีหลายปัจจัยทั้งสงครามการค้าสหรัฐและจีนที่รุนแรงมากขึ้น ราคาน้ำมัน รวมถึงอัตราแลกเปลี่ยนที่ผันผวนกว่าที่คาดการณ์ไว้ จึงจะต้องพิจารณาให้รอบคอบ แต่เชื่อว่าจากการทำงานใกล้ชิดระหว่างภาครัฐและเอกชนจะมีผลให้การส่งออกเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น
ทั้งนี้ กรอ.พาณิชย์มีหน่วยงานภาครัฐ เช่น สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รวมถึงภาคเอกชน จากสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) สมาคมธนาคารไทย และสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย และธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย เป็นต้น.-สำนักข่าวไทย