กรุงเทพฯ 31 ก.ค.- ขุนพลเสื้อกล้ามไทยแม้ประสบความสำเร็จจากการอุ่นเครื่องในรายการ ไทยแลนด์ โอเพ่น อินเตอร์เนชั่นแนล บ็อกซิ่ง ทัวร์นาเมนต์ แต่ซีเกมส์ที่ฟิลิปินส์ คือบทพิสูจน์ว่าไทยจะได้เจ้าอาเซียนของกีฬามวยสากลได้หรือไม่
มหกรรมกีฬาของชาวอาเซียน ที่จะเปิดฉากขึ้นระหว่างวันที่ 30 พ.ย. ถึง 11 ธ.ค. 2562 ที่ฟิลิปปินส์เป็นเจ้าภาพ กีฬายอดนิยมของคนไทย ก็คงหนีไม่พ้นมวยสากลสมัครเล่น ที่เคยสร้างผลงานไว้อย่างยอดเยี่ยมในอดีต โดยปี 2013 ที่เมียนมาเป็นเจ้าภาพ ไทยเคยคว้ามาได้ถึง 7 เหรียญทอง ทั้งมวยชายและมวยหญิง ครองเบอร์ 1 ในภูมิภาคนี้ ถัดมาปี 2015 สิงคโปร์เป็นเจ้าภาพ ผลงานของกำปั้นไทย กลับถอยหลังอย่างน่าใจหาย เมื่อคว้ามาได้เพียง 2 เหรียญทอง แบ่งเป็น ชาย 1 รุ่น หญิงอีก 1 รุ่น อยู่อันดับ 3 ของอาเซียน พ่ายทั้งฟิลิปปินส์และเวียดนาม กระทั่งปี 2017 ที่มาเลเซียเป็นเจ้าภาพ ไทยกลับมาทวงเจ้าอาเซียนอีกครั้ง แต่จำนวนเหรียญทองไม่ได้เพิ่มไปจากเดิม คือคว้ามาได้เพียง 2 เหรียญทอง เท่ากับฟิลิปินส์ แต่เหรียญเงินมากกว่าเท่านั้นเอง
จากนี้อีก 4 เดือนเต็ม สมาคมกีฬามวยสากลไทยต้องเร่งปรับกลยุทธ์ หากหวังเป็นเจ้าอาเซียนอีกครั้ง หลังการเข้ามาเป็นหัวหน้าผู้ฝึกสอนของ ฮวน ฟอนตาเนียล โค้ชชาวคิวบา ทำให้เริ่มเห็นผล โดยการชกอุ่นเครื่องในรายการ “ไทยแลนด์ โอเพ่น อินเตอร์เนชั่นแนล บ็อกซิ่ง ทัวร์นาเมนต์ 2019” ขุนพลเสื้อกล้ามไทย ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศ 8 รุ่น แบ่งเป็นชาย 5 รุ่น และหญิง 3 รุ่น และคว้ามาได้ ถึง 5 เหรียญทอง 4 เหรียญเงิน และ 5 เหรียญทองแดง
นายสมชาย พูลสวัสดิ์ ประธานฝ่ายพัฒนาเทคนิคมวยสากลไทย ที่พอใจกับผลงานของนักชกไทย เปิดเผยว่า นักชกชุดนี้บางรุ่นจะได้เป็นกำลังหลักในการแข่งขันซีเกมส์ เช่น รุ่น 60 กิโลกรัม รุตช์การณ์ จันทร์ตรง, รุ่น 56 กิโลกรัมชาย ฉัตร์ชัยเดชา บุตรดี, รุ่น 69 กิโลกรัม วุฒิชัย มาสุข แต่รุ่น 64 กิโลกรัม อธิชัย เพิ่มทรัพย์ ดาวรุ่งดีกรีเหรียญทองยูธโอลิมปิกเกมส์ 2018 ที่คว้านักมวยชายยอดเยี่ยมในรายการนี้ ต้องดูผลงานในช่วงโค้งสุดท้ายกับรุ่นพี่อย่าง สมชาย วงษ์สุวรรณ
หลังจากจบศึกซีเกมส์ ภารกิจหลักของนักชกชุดนี้ ต้องลุยแย่งโควตาโอลิมปิกเกมส์ ที่ญี่ปุ่นต่อในเดือนมกราคมที่ประเทศจีน เพื่อพิสูจน์อีกครั้งว่า ทีมมวยสากลไทยดีพอที่จะลุ้นคว้าเหรียญทองโอลิมปิกเกมส์.-สำนักข่าวไทย