กรุงเทพฯ 25 ก.ค.- สตม. แถลงจับ 3 คดี ทั้งแก๊งโรแมนซ์สแกม – เกาหลีใต้ฉ้อโกงชาติเดียวกันหอบเงินกว่า20ล้านกบดานในไทย
พลตำรวจโทสมพงษ์ ชิงดวง รักษาราชการผู้บัญชาการสำนักงานตรงจคนเข้าเมือง แถลงผลการจับกุม นายซามูเอล อายุ 38 ปี สัญชาติไนจีเรีย พร้อม ของกลาง สมุดบัญชีธนาคาร บัตรเอทีเอ็ม โทรศัพท์มือถือ และเอกสารการโอนเงิน รวม 14 รายการ ซึ่งผู้ต้องหาเป็นหนึ่งในแก๊งโรแมนซ์สแกม หรือ ลวงรัก ออนไลน์ ตามหมายจับศาลจังหวัดภูเก็ตในข้อหา ร่วมกันฉ้อโกงโดยการแสดงตนเป็นผู้อื่น ซึ่งไปสวมรอยเป็นชาวต่างชาติคนอื่น แล้วไปสานสัมพันธ์พูดคุยกับหญิงไทยในโลกโซเชี่ยล โดยใช้เฟสบุ๊กเป็นเครื่องมือ อ้างตัวเป็นนักธุกิจและนายหน้าค้าที่ดิน หน้าตาดี โปรไฟล์เยี่ยม เข้าไปทักทายสนทนากับเหยื่อหญิงชาวไทย หลอกลวงว่ามีเพื่อนเป็นนักธุรกิจต้องการซื้อบ้านจัดสรรและที่ดินราคา 160 ล้านบาท แต่ต้องเสียค่าธรรมเนียมดำเนินการเป็นเงิน 897,400 บาท จึงลวงให้เหยื่อหลงเชื่อโอนเงินจ่ายค่าธรรมเนียมให้ก่อน ภายหลังเมื่อทราบว่าถูกหลอก ผู้เสียหายได้ไปแจ้งความไว้ที่ สภ.วิชิต จังหวัดภูเก็ต จนศาลจังหวัดภูเก็ตอนุมัติหมายตับในเวลาต่อมา
สำหรับนายซามูเอลถูกตำรวจตรวจคนเข้าเมืองจับกุม ได้ที่คอนโดมิเนียมแห่งหนึ่งในซอยลาซาล เขตบางนา กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคมที่ผ่านมา ก่อนนำส่งดำเนินคดีที่ สภ.วิชิต นอกจากนี้เพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร และผลักดันส่งกลับประเทศต่อไป
อีกคดี เป็นการจับกุมนายซอย (Mr.Choi) อายุ 51 ปี สัญชาติเกาหลีใต้ เป็นบุคคลตามหมายจับตำรวจสากลเลขที่ A-5439/6-2019 หลังก่อคดีฉ้อโกงในประเทศเกาหลีใต้ มูลค่าความเสียหายกว่า 20 ล้านบาท โดยจับกุมได้ที่ปากซอยสุขุมวิท 46 เมื่อวันที่ 12 ก.ค.2562 คดนี้ สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่สืบสวนของสตม. ได้รับการประสานงานจากสถานฑูตเกาหลีใต้ ประจำประเทศไทยว่านายซอย (Mr. Choi) บุคคลสัญชาติเกาหลีใต้ เป็นบุคคลที่มีหมายจับตำรวจสากลและทางการเกาหลีใต้ต้องการตัว โดยนายซอยมีพฤติการณ์เป็นผู้บริหารของบริษัท Fasskey Technology Co., Ltd. ซึ่งทำธุรกิจเกี่ยวกับการเงินได้หลอกขายหุ้นให้กับผู้เสียหาย 2 รายคือ นายลี (Mr. Lee) และนายวอน (Mr. Won) โดยอ้างว่ากิจการดังกล่าวจะสร้างผลประโยชน์ให้กับผู้เสียหายจำนวนมาก ทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อ และได้ลงทุนซื้อหุ้นกิจการดังกล่าวเป็นมูลค่าความเสียหาย 692, 762,000 วอนคิดเป็นเงินดอลล่าร์ 585,845 ดอลล่าร์ หรือประมาณ 20 ล้านบาท และได้หลบหนีออกนอกประเทศ โดยมีข้อมูลจากทางการเกาหลีใต้ว่านายซอยได้หลบหนีมาซ่อนตัวอยู่ในประเทศไทยเหตุเกิดระหว่าง 21 ก.พ.2560- 12 ก.พ.2561 ต่อเนื่องกันที่ประเทศสาธารณรัฐเกาหลีใต้
จากการสืบสวนของชุดไล่ล่าทราบว่าเป้าหมายได้หลบหนีเข้ามาพักอาศัยอยู่กับครอบครัวในประเทศไทยหลายครั้ง ตั้งแต่ปี 2561 และแต่ละครั้งที่เข้ามาได้ทำการเปลี่ยนที่พักทุกครั้ง เพื่อหลบซ่อนตัว โดยนายซอยได้หลบหนีมาไทยเมื่อวันที่ 11 มิ.ย.2562 เข้าพักที่โรงแรมแห่งหนึ่งย่านพระโขนง จนกระทั่งถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนจับกุมตัวได้ในที่สุด ทางสตม. จะดำเนินการเพิกถอนวีซ่าและประสานกับทางสาธารณรัฐเกาหลีเพื่อส่งตัวกลับไปยังประเทศเกาหลีใต้ต่อไป
คดีสุดท้าย เป็นการบุกช่วยเหลือเด็กหญิงชาวเมียนมาร์เข้าข่ายค้ามนุษย์ จ.สุพรรณบุรี หลังจากเมื่อวันที่ 20 ก.ค.62 เจ้าหน้าที่ บก.ตม.3 ได้รับแจ้งเบาะแสว่ามีเด็กหญิงชาวเมียนมาร์เข้ามาทำงานที่ร้านขายของชำแห่งหนึ่งในพื้นที่ อ.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรีโดยผิดกฎหมาย และมีลักษณะเข้าข่ายเป็นการค้ามนุษย์ เจ้าหน้าที่จึงประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สืบสวนหาข่าวและวางแผนปฏิบัติการช่วยเหลือเด็กหญิง ชาวเมียนมาร์รายดังกล่าว
ต่อมาในวันที่ 21 ก.ค. 62 เวลาประมาณ 10.30 น. เจ้าหน้าที่จึงลงพื้นที่ตรวจสอบบ้านเลขที่ 146 ม.12 ต.ดอนมะเกลือ อ.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี ซึ่งเป็นร้านของชำ พบเด็กหญิงเดือน (นามสมมุติ)อายุประมาณ 15 ปี สัญชาติเมียนมาร์ ไม่มีเอกสารประจำตัวใด ๆ กำลังทำงานอยู่หน้าร้านจริงและพักอาศัยอยู่ในห้องพักในบริเวณใกล้เคียง
จากการสอบถามเบื้องต้นทราบว่ามีนายสมภาคย์ เกิดเรือง เป็นเจ้าของร้านขายของชำ และมีนายณัฐพงศ์ เกิดเรือง ซึ่งเป็นน้องชายนายสมภาคย์ เป็นเจ้าของที่พัก เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงแจ้งข้อกล่าวหา พร้อมกับนำตัวนายสมภาคย์และนายณัฐพงศ์ ส่งพนักงานสอบสวน สภ.สระยายโสม ดำเนินคดีตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 และ พ.ร.ก.การบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2561 ส่วนเด็กหญิงเดือน เจ้าหน้าที่ได้นำตัวไปเข้าสู่กระบวนการคัดแยกผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์โดยทีมสหวิชาชีพและฟื้นฟูสภาพจิตใจ รวมถึงตรวจมวลกระดูกเพื่อยืนยันอายุที่ชัดเจนต่อไป
ทั้งนี้ ฝ่ายสืบสวนอยู่ระหว่างสอบปากคำพยานบุคคลเพิ่มเติม และสืบสวนขยายผลถึงขบวนการที่เกี่ยวข้องอย่างละเอียด เพื่อนำพยานหลักฐานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นพยานเอกสาร พยานบุคคล หรือพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์มารวบรวมประกอบสำนวน มีความเห็นว่ามีความเชื่อมโยงกับการค้ามนุษย์หรือไม่ต่อไป.-สำนักข่าวไทย