ศธ.18 ก.ค.-รมว.ศึกษาฯไม่กังวลเเม้หลายฝ่ายวิจารณ์ ไม่มีความสามารถด้านการศึกษา ยันมีคุณสมบัติผู้บริหารที่ดี พร้อมชูนโยบายเร่งด่วน พัฒนาเด็ก-ครู-หลักสูตร ดูเเล สพฐ.เอง เเบ่ง2 รัฐมนตรีช่วยว่าการช่วยดูอาชีวะ
นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วยคุณหญิงกัลยา โสภณพนิช และนางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ถือฤกษ์ 07.49 น. เดินทางเข้าสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำกระทรวงศึกษาธิการ พระพุทธบารมีศักดิ์สิทธิ์ สยามิศรจักรี สัฏฐีอนุสรณ์ ศึกษาทรรังสรรค์ ,พระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 เเละศาลพระภูมิ ก่อนมอบนโยบายเเละเเนวทางการปฏิบัติงานให้แก่ผู้บริหารระดับสูงเเละข้าราชการประจำกระทรวง ท่ามกลางการต้อนรับอย่างอบอุ่นของเจ้าหน้าที่จำนวนมาก
นายณัฏฐพล กล่าวว่า ตนพร้อมจะทำงานการศึกษา โดยจะยกระดับการ ศึกษาไทยให้เท่าเทียมกับสากลให้ได้จึงได้มอบ 3 นโยบายเร่งด่วนให้ผู้บริหารระดับสูงไปคิดเเละวางเเผนต่อ ถึงเรื่องดังกล่าวภายในกรอบเวลา 1 เดือนเเล้วให้กลับมารายงาน ถึงเเผนการทำงานเเละตัวชี้วัด ได้แก่ เรื่องพัฒนานักเรียนให้มีความสามารถและทักษะเเข่งขันในยุคศตวรรษที่ 21 ให้เด็กทุกคนได้เข้าถึงการศึกษาอย่างทั่วถึงเเละเท่าเทียม วางเเผนการสนับสนุนอย่างเหมาะสม พัฒนาครู เพราะเด็กจะเก่งได้เพราะครู ให้ครูมีความสามารถเชี่ยวชาญ ปรับวิธีการสอน วิธีวัดผล คืนครูสู่ห้องเรียน ศึกษาปัญหาคูปองครูที่มีการร้องเรียนว่าไม่มีประสิทธิภาพ เเละให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตครูให้มีความพร้อมดูเเลเด็ก เคลียร์ปัญหาหนี้ครู เเละพัฒนาหลักสูตรให้สอดรับกับการเปลี่ยนเเปลงที่รวดเร็วในยุคดิจิทัล ขณะที่รัฐมนตรีทั้ง 3 คนได้เห็นความสำคัญตรงกันเรื่อง การพัฒนาเด็กปฐมวัยที่ต้องสนับสนุนให้มากขึ้น
ทั้งนี้ ทุกงานเน้นว่าต้องให้เกิดประสิทธิภาพ ตั้งเเต่การประสานงานกันระหว่างองค์กรหลักเเละผลลัพธ์ของงาน ขณะเดียวหากพบว่ามีกฎ ระเบียบใดที่ทำให้การศึกษาติดขัด จะประเมินเพื่อปรับเเก้ทันที ตนเชื่อว่าตนกล้าตัดสินใจเปลี่ยนแปลง
ส่วนการเเบ่งงาน เบื้องต้น ตนจะดูเเลสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานเเละดูภาพรวมของสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ส่วน รมช.ศธ.ทั้ง 2 คนจะร่วมดูเเลอาชีวะด้วย โดยคุณหญิงกัลยา ให้ดูเรื่องอาชีวะที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์ เเละนางกนกวรรณ ให้ดูเรื่องอาชีวะศึกษากับเทคโนโลยีเเละอื่นๆ
ขณะที่การเเก้ปัญหาการใช้งบประมาณ ที่กระทรวงศึกษาธิการได้รับงบประมาณมากที่สุดจนทำให้เกิดการทุจริตได้นั้น ได้มอบให้ทีมกฎหมายลงศึกษาปัญหาการใช้งบประมาณ ซึ่งไม่เกินสิ้นปีนี้ จะมาวิเคราะห์เเละประเมินถึงปัญหา เพื่อปรับการใช้งบประมาณให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ขณะเดียวกันกรณีที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่าไม่มีความสามารถด้านการ ศึกษานั้น นายนัฏฐพล กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับคนมอง เเต่ตนมีความสามารถ ที่จะรับฟังเเละเเก้ไขปัญหา เเยกเเยะการทำงานเเละการบริหารงานได้ ซึ่งถือว่าเป็นหน้าที่สำคัญของผู้บริหารระดับสูง เเละพร้อมน้อมรับความรู้เเละความคิดเห็นจะทุกภาคส่วน เพื่อให้การศึกษาเดินหน้าไปอย่างมีประสิทธิ ภาพ เเละหากลงมือทำเเล้วไม่มีความสามารถก็ค่อยมาวัดกันต่อไป
ด้านคุณหญิงกัลยา กล่าวว่า รัฐมนตรีว่าการ ศธ.ได้แบ่งงานที่ถนัด อย่างด้านวิทยาศาสตร์ ซึ่งหลายนโยบายทำได้ทันที อาทิ การเรียนโค้ดดิ้ง โปรเเกรมมิ่ง ภาษาคอมพิวเตอร์ที่มีความสำคัญสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ซึ่งสามารถเริ่มได้ทันผ่าน สสวท.ในเปิดเทอมใหม่นี้ โดยเริ่มเรียนหลักการหรือตรรกะจากครูที่ผ่านการอบรมในโรงเรียนที่พร้อม ก่อนจะขยายเป็นหลักสูตรต่อไป เพื่อเพิ่มการเรียนรู้ให้ทั่วถึงเท่าเทียมเท่าทัน
ขณะที่นางกนกวรรณ กล่าวว่า เท่าที่ดูนโยบายของกระทรวงศึกษามีหลายด้านที่ดีอยู่แล้ว เพียงเเต่เพิ่มประสิทธิภาพให้มากขึ้น อาทิ การเรียนกศน. ทำอย่างไรให้มีคนเรียนมากขึ้นหรือการเรียนอาชีวะ ที่จะทำอย่างไรให้เด็กภูมิใจในตัวเองมากขึ้น เป็นต้น
สำหรับนายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ อายุ 53 ปี เป็นสมาชิกสภาผู้เเทนราษฎร เเบบบัญชีรายชื่อเเละรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ อดีตผู้อำนวยการพรรคประชาธิปัตย์เเละอดีตประธานสโมสรทีมฟุตบอลบางกอกเอฟซี จบการศึกษาปริญญาตรี คณะบริหารธุรกิจจาก Boston University และปริญญาโท คณะบริหารธุรกิจ สาขาการตลาด (ภาคภาษาอังกฤษ) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ขณะที่ประวัติการทำงานเป็นนักธุรกิจ ผู้บริหารกิจการกระเบื้องคัมพานา พรมไทปิง และพรม Royal Thai ขณะที่ในวงการกีฬา ถูกเรียกว่า ‘บิ๊กตั้น’ เพราะคร่ำหวอดกีฬาเทควันโดเเละฟุตบอล
ขณะที่คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช อายุ 79 ปี รัฐมนตรีที่อายุมากที่สุดในครม.ประยุทธ์2 เป็นรองหัวหน้าตามภารกิจของพรรคประชาธิปัตย์ เป็นอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์เเละเทคโนโลยีในรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ด้านนางกนกวรรณ วิลาวัลย์ อายุ 53 ปี รองเลขาธิการพรรคภูมิใจไทย เเละอดีตสมาชิกสภาผู้เเทนราษฎร จ.ปราจีนบุรี 2 สมัย .-สำนักข่าวไทย