กรุงเทพฯ 25 มี.ค. – ประธานหอการค้าไทยย้ำแม้ขั้นตอนตั้งรัฐบาลมีมาก ขอให้ทุกฝ่ายร่วมมือดันประเทศไปข้างหน้าไม่ควรเกียร์ว่าง
นายกลินท์ สารสิน ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยและหอการค้าไทย เปิดเผยภายหลังการเลือกตั้ง ว่า จากนี้อาจจะใช้เวลาพอสมควรจึงจะเห็นหน้าตาคณะรัฐมนตรีชุดใหม่และรัฐบาลชุดใหม่ ในส่วนของภาคเอกชนคาดหวังให้ประเทศไทยเดินหน้าต่อไม่มีเกียร์ว่าง ถือว่าช่วงนี้สำคัญที่ต่างชาติอยากจะเข้ามาลงทุนในประเทศไทยและเดินทางท่องเที่ยว ซึ่งการรักษาความสงบเรียบร้อยเป็นสิ่งสำคัญ ทำให้เศรษฐกิจไทยเดินหน้าต่อไปได้
อย่างไรก็ตาม หลายนโยบายเป็นเรื่องดีที่ควรสานต่อ เช่น โครงการ EEC การพัฒนาการศึกษา และการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ส่วนการขึ้นค่าแรง ส่วนตัวไม่มีปัญหา แต่มองว่ารัฐบาลใหม่ควรเน้นเพิ่มทักษะแรงงานมากกว่า เพราะในอนาคตเป็นยุคที่มีเครื่องจักรและหุ่นยนต์เข้ามาทำงานแทนที่แรงงานมนุษย์มากขึ้น
นอกจากนี้ ไม่ว่าผลการเลือกตั้งออกมาอย่างไร ถือเป็นเรื่องน่ายินดีที่ภาพรวมการเลือกตั้งผ่านไปด้วยความเรียบร้อยและประชาชนตื่นตัวกับการเลือกตั้งครั้งนี้ ดังนั้น ไม่ว่าผลการเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการก็ค่อนข้างสะท้อนถึงความต้องการของประชาชนอย่างชัดเจน หลายพรรคการเมืองที่เสนอทางเลือกใหม่ ๆ ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น ขณะที่พรรคเก่าแก่ประชาชนให้ความสนใจลดลง หลังจากนี้ทุกพรรคจะต้องทบทวนบทบาทที่ผ่านมาว่ามีข้อผิดพลาดอย่างไร รวมถึงจะนำนโยบายที่หาเสียงไว้กับประชาชนไปปฏิบัติจริงได้อย่างไร ขณะที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีหน้าที่ต้องชี้แจงให้ชัดเจนว่าจัดการเลือกตั้งตามกระบวนการอย่างถูกต้อง ซึ่งประชาชนและสื่อมวลชนควรมีส่วนร่วมตรวจสอบ เพื่อให้ทุกอย่างเป็นไปด้วยความโปร่งใส ทำให้ทุกฝ่ายยอมรับผลการเลือกตั้งที่ออกมาได้อย่างถูกต้องและเป็นธรรม
นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการ ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ระบุว่า การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการสะท้อนความต้องการของประชาชนที่ต้องการรัฐบาลเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาด้านเศรษฐกิจ ต้องการการเมืองที่มีเสถียรภาพ โดยมีโอกาสสูงที่พรรคพลังประชารัฐจะเข้าจัดตั้งรัฐบาล โดยมีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งจะสามารถเดินหน้านโยบายได้อย่างต่อเนื่อง นักลงทุนต่างชาติจะมีความเชื่อมั่นและเข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายของรัฐบาลได้
นอกจากนี้ ยังมองเห็นการจัดตั้งรัฐบาลผสมที่เชื่อว่าจะสามารถจับมือร่วมกันได้ เพราะนโยบายแต่ละพรรคการเมืองนั้น มุ่งเน้นไปที่การเพิ่มรายได้ให้กับประชาชน การดูแลเกษตรกร การให้โอกาสคนเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ โดยภายใน 2 เดือนนี้จะเห็นความชัดเจนของรัฐบาลและนโยบายแต่ละพรรคการเมือง ซึ่งจะต้องมีการปรับเปลี่ยนให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน
ส่วนกรณีที่มีกระแสจากโลกโซเชียลกดดันการทำงาน กกต. ทำงานไม่โปร่งใสนั้น เป็นเพียงการตั้งข้อสังเกต และเชื่อว่า กกต.จะรับมือได้ และหากพิสูจน์ข้อเท็จจริงให้เกิดขึ้น ทำให้ชัดเจน ก็ไม่น่าจะสร้างแรงกดดันให้เกิดขึ้นได้