กทพ.โชว์ศักยภาพทางพิเศษที่ระดมทุนผ่าน TFFIF

นายสุชาติ ชลศักดิ์พิพัฒน์ ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) เปิดเผยว่า ทางพิเศษฉลองรัชและทางพิเศษบูรพาวิถีที่เปิดให้บริการแก่ประชาชนในปัจจุบัน เป็นทรัพย์สินของ กทพ.ที่กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (TFFIF) จะเข้าลงทุนครั้งแรกในสิทธิในการรับรายได้ร้อยละ 45 ของรายได้ค่าผ่านทางรวมสุทธิที่จัดเก็บได้เป็นระยะเวลา 30 ปีนับจากวันแรกที่กองทุนมีสิทธิในรายได้ดังกล่าว และถือเป็นทรัพย์สินที่มีศักยภาพสูงในการสร้างรายได้จากการจัดเก็บค่าผ่านทาง โดยทางพิเศษทั้ง 2 สายทางดังกล่าวมีระยะทางรวม 83.2 กิโลเมตร และเป็นเส้นทางที่สำคัญในการเชื่อมต่อการเดินทางในกรุงเทพฯ และการเดินทางระหว่างกรุงเทพฯ และชลบุรี 


ทั้งนี้ ทางพิเศษทั้ง 2 สายทางดังกล่าว มีปริมาณรถยนต์ที่ใช้บริการในช่วงที่ผ่านมาเติบโตเฉลี่ยร้อยละ 4.7 ต่อปีนับตั้งแต่ปีบัญชีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2558 ถึงปีบัญชีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2560 โดยมีปริมาณการจราจรเฉลี่ย 369,464 คันต่อวัน สำหรับรอบบัญชีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2560 และเฉลี่ย 386,557 คันต่อวัน สำหรับงวดเก้าเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2561 โดยมีรายได้ค่าผ่านทาง 4,672 ล้านบาท สำหรับรอบปีบัญชีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2560 และ 3,593  ล้านบาท สำหรับงวดเก้าเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2561


โดยทางพิเศษทั้ง 2 สายทางนั้น ประกอบด้วย  ทางพิเศษฉลองรัชมีระยะทาง 28.2 กิโลเมตร มีแนวเส้นทางเริ่มต้นที่จุดเชื่อมต่อกับถนนวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานครด้านตะวันออก (บริเวณจตุโชติ) และไปบรรจบกับทางพิเศษเฉลิมมหานครบริเวณอาจณรงค์ และทางพิเศษบางนา – อาจณรงค์ ซึ่งถือเป็นเส้นทางหลักในการเดินทางของผู้อยู่อาศัยในพื้นที่ชานเมืองทางด้านเหนือของกรุงเทพฯ เข้าสู่ย่านธุรกิจใจกลางกรุงเทพฯ โดยเป็นทางพิเศษขนาด 6 ช่องจราจร มีอาคารด่านเก็บค่าผ่านทางทั้งสิ้น 15 หลัง ตลอดแนวเส้นทาง 

ทั้งนี้ ทางพิเศษฉลองรัชมีปริมาณการจราจรโดยเฉลี่ยต่อวันสำหรับรอบปีบัญชีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2560 อยู่ที่ 221,925 คัน และมีความสามารถในการรองรับปริมาณการจราจรได้วันละประมาณ 350,000 คัน  โดยปริมาณการจราจรบนทางพิเศษฉลองรัชมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยร้อยละ 6.1 ต่อปีนับตั้งแต่ปีบัญชีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน  2558 จนถึงปีบัญชีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2560 โดยรายได้ค่าผ่านทางเพิ่มขึ้นที่อัตราการเติบโตเฉลี่ยร้อยละ 6.0 ต่อปี ในช่วงระยะเวลาเดียวกัน 

ส่วนทางพิเศษบูรพาวิถีมีระยะทาง 55 กิโลเมตร ถือเป็นหนึ่งในทางยกระดับที่มีการจัดเก็บค่าผ่านทางที่มีระยะทางยาวที่สุดในประเทศไทย โดยเป็นทางพิเศษขนาด 6 ช่องจราจร เริ่มต้นที่จุดเชื่อมต่อปลายทางพิเศษเฉลิมมหานคร (ช่วงบางนา) และสิ้นสุดที่บริเวณก่อนถึงทางเลี่ยงเมืองชลบุรี มีอาคารด่านเก็บค่าผ่านทางทั้งสิ้น 20 หลังตลอดแนวเส้นทาง มีปริมาณการจราจรโดยเฉลี่ยต่อวันสำหรับรอบปีบัญชีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2560 อยู่ที่ 147,539 คัน เทียบกับความสามารถในการรองรับปริมาณการจราจรที่ 360,000 คันต่อวัน  โดยปริมาณการจราจรบนทางพิเศษบูรพาวิถีมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยร้อยละ 2.7 ต่อปีนับตั้งแต่ปีบัญชีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2558 จนถึงปีบัญชีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2560 และมีรายได้ค่าผ่านทางเพิ่มขึ้นที่อัตราการเติบโตเฉลี่ยร้อยละ 0.7 ต่อปี ในช่วงระยะเวลาเดียวกัน 


สำหรับทางพิเศษบูรพาวีถี เป็นเส้นทางเชื่อมต่อไปยังจังหวัดชลบุรี ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญ และเป็นศูนย์กลางเชื่อมต่อเขตเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศ ทั้งนิคมอุตสาหกรรมและท่าเรือน้ำลึกแหลมฉบัง อีกทั้งทางพิเศษบูรพาวิถียังได้รับประโยชน์จากการพัฒนาโครงการอีสเทิร์นซีบอร์ดที่จังหวัดระยอง  และโครงการพัฒนาระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกหรือ EEC ที่เป็นโครงการขับเคลื่อนเศรษฐกิจครั้งใหม่ของภาครัฐที่จะขับเคลื่อนการเติบโตครั้งสำคัญของประเทศไทย 

ทั้งนี้ หลังจากที่นำทรัพย์สินเข้าระดมทุนผ่านกองทุน TFFIF  กทพ.ยังคงเป็นผู้ที่ดูแลและบริหารทางพิเศษทั้ง 2 สายทางเช่นเดิม โดย กทพ.จะนำเงินที่ได้จากการโอนสิทธิในรายได้ดังกล่าวไปใช้ขยายโครงการก่อสร้างทางพิเศษ 2 สายทาง ได้แก่ 1.โครงการทางพิเศษพระราม 3 – ดาวคะนอง – วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานครด้านตะวันตก และ 2.โครงการระบบทางด่วนขั้นที่ 3 สายเหนือ ตอน N2 เชื่อมต่อไปยังถนนวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานครด้านตะวันออกและส่วนต่อขยายทดแทน ตอน N1 เพื่อบริการประชาชนได้ดียิ่งขึ้น

ย่างไรก็ดี นายสุชาติ กล่าวว่า การลงทุนขยายทางพิเศษอีก 2 สายทางนั้น ถือว่าเป็นการลงทุนครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 10 ปีของ กทพ. ซึ่งจะช่วยเชื่อมโยงโครงข่ายทางพิเศษให้มีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น เพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันให้แก่ประเทศ แบ่งเบาภาระทางการคลังของรัฐบาล ช่วยสร้างการเติบโตในระยะยาวให้แก่ กทพ. รวมถึงช่วยเพิ่มการเชื่อมต่อทางพิเศษเพื่อให้บริการกับประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับการไปโรดโชว์ให้ข้อมูลต่อนักลงทุนต่างๆ เป็นไปได้ด้วยดี โดยมุ่งเป้าไปที่การจำหน่ายหน่วยลงทุนให้กับประชาชนรายย่อยเป็นอันดับแรกๆ เพื่อประชาชนให้เป็นเจ้าของกองทุน โดยคาดว่าตะสามารถพร้อมจำหน่ายหน่วยลงทุน TFF ได้ภายในเดือนตุลาคมนี้ ส่วนรายละเอียดราคาหน่วยลงทุนและผลตอบแทนจะมีการประกาศอีกครั้งในช่วงบ่ายวันพรุ่งนี้. – สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

อดีตครูจำใจสร้างห้องขังในบ้าน เตรียมคุมลูกติดยา

สลด! อดีตครูวัย 64 ปี จำใจจ้างช่างทำห้องคล้ายกรงขังในบ้าน เตรียมคุมลูกติดยา-พนันออนไลน์ หลังส่งตัวบำบัดกว่า 10 ครั้ง แต่ออกมาก็เหมือนเดิม

หนุ่มใหญ่ควบเก๋งเผลอเหยียบผิดพุ่งทะลุกำแพงอาคารจอดรถดิ่งตกจากชั้น 2

หนุ่มใหญ่ควบเก๋งเผลอเหยียบผิดพุ่งทะลุกำแพงอาคารจอดรถดิ่งตกจากชั้น 2 โชคดีบาดเจ็บเล็กน้อย เจ้าหน้าที่ส่งรักษาตัวที่ รพ.เจ้าพระยา

อาม่าแจ้งความ “หมอดูฮวงจุ้ยชื่อดัง” หลอกทำพิธีสูญ 60 ล้าน

อาม่าวัย 77 ปี โร่แจ้งความเอาผิด “หมอดูฮวงจุ้ยชื่อดัง” หลอกทำพิธี-แนะซื้อวัตถุมงคลแล้วไม่ได้รับของ สูญเงินกว่า 60 ล้านบาท

ข่าวแนะนำ

เรือใบอิตาลีที่สวยงามที่สุดในโลกเดินทางถึงภูเก็ตแล้ว

ภูเก็ตคึกคัก เรือใบอิตาลีที่ขึ้นชื่อว่างดงามที่สุดลำหนึ่งของโลก ออกเดินทางมาแล้วรอบโลก ได้เข้าจอดเทียบท่าจังหวัดภูเก็ต โดยมีทัพเรือภาคที่ 3 ให้การต้อนรับทหารเรืออิตาลีกว่า 150 นาย อย่างอบอุ่นพร้อมเปิดให้ประชาชนขึ้นชมเรือฟรีได้ตั้งแต่วันพรุ่งนี้ (6 พ.ย.)

พระเปย์สีกา ช่องโหว่ผลประโยชน์ในดงขมิ้น

รองเจ้าอาวาสวัดชื่อดังแห่งหนึ่งในมหาสารคาม ขอลาสิกขากลางดึก หลังถูกแฉ เป็นพระปลัดใจป๋า เปย์สีกาไม่อั้น ขณะที่รอง ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ สั่งตรวจสอบว่า เป็นเงินส่วนตัว หรือ เงินวัด เพราะจะมีความผิดแตกต่างกัน

“สันธนะ” เปิดใจหลังเคลียร์ใจ “ชูวิทย์” กลับไทยขึ้นศาล

“สันธนะ” เผย นอนคิดมา 1 คืนเริ่มใจอ่อนรับคำขอโทษ “ชูวิทย์” รับรู้ถึงความจริงใจ แต่คดีอาญาถอนฟ้องไม่ได้ ต้องปล่อยไปตามกฎหมาย