นนทบุรี 25 ก.ย. – พาณิชย์เผยยอดใช้สิทธิ FTA และ GSP 7 เดือนแรกโตร้อยละ 19 คาดทั้งปี 61 โตเกินเป้าไม่ต่ำกว่าร้อยละ 10
นายอดุลย์ โชตินิสากรณ์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า การใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้ความตกลงการค้าเสรี (FTA) และภายใต้ระบบสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรเป็นการทั่วไป (GSP) โดยในช่วง 7 เดือนแรก (ม.ค.-ก.ค.) มูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ฯ รวมอยู่ที่ 42,704.20 ล้านเหรียญสหรัฐ มีอัตราการใช้สิทธิประโยชน์ฯ อยู่ที่ร้อยละ 84.07 ขยายตัวจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมาร้อยละ 18.95 แบ่งเป็นมูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้ FTA 39,972.02 ล้านเหรียญสหรัฐ และมูลค่าการส่งออกภายใต้ GSP 2,732.18 ล้านเหรียญสหรัฐ
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันไทยจัดทำความตกลง FTA ทั้งสิ้น 12 ฉบับ และมีการใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้ความตกลง FTA คิดเป็นมูลค่าเท่ากับ 39,972.02 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นร้อยละ 75.36 ของมูลค่าการส่งออกรวมภายใต้ความตกลงการค้าเสรีไปยังประเทศคู่ภาคีความตกลง เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมาร้อยละ 19.54 โดยตลาดส่งออกที่ไทยมีมูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ฯ สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ อาเซียน มูลค่า 15,109.82 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จีน มูลค่า 10,148.13 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ออสเตรเลีย มูลค่า 5,429.07 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ญี่ปุ่น มูลค่า 4,318.69 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และอินเดีย มูลค่า 2,563.34 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาอัตราการขยายตัวของมูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ฯ พบว่าทุกตลาดขยายตัวเพิ่มขึ้น ยกเว้นตลาดนิวซีแลนด์ที่มีอัตราการขยายตัวเป็นลบ โดยตลาดที่มีอัตราการขยายตัวสูงสุด คือ เปรู ซึ่งมีอัตราการขยายตัวร้อยละ 53.05 รองลงมา คือ จีนและอินเดีย ซึ่งมีอัตราการขยายตัวอยู่ที่ร้อยละ 31.24 และ 24.84 ตามลำดับ สำหรับกรอบความตกลงการค้าเสรีที่มีอัตราการใช้สิทธิประโยชน์สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ ไทย-ชิลี ร้อยละ 102.30 ไทย-ออสเตรเลีย ร้อยละ 94.10 อาเซียน-จีน ร้อยละ 90.54 ไทย-ญี่ปุ่น ร้อยละ 88.66. และอาเซียน-เกาหลี ร้อยละ 88.55 และรายการสินค้าส่งออกที่มีมูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ฯ สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ รถยนต์บรรทุก ผลิตภัณฑ์ยางสังเคราะห์ผสมยางธรรมชาติ ทุเรียน น้ำตาลจากอ้อย และมันสำปะหลัง
สำหรับการใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน (AFTA) ในช่วง 7 เดือนแรกของปี พบว่าไทยใช้สิทธิส่งออกมูลค่าสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ เวียดนาม 4,250.21 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อินโดนีเซีย 3,927.31 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และฟิลิปปินส์ 3,175.18 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ยังคงต้องจับตาตลาดเวียดนามซึ่งเป็นตลาดที่มีการใช้สิทธิประโยชน์ฯ สูงร้อยละ 85.68 และเป็นตลาดที่มีศักยภาพที่เป็นโอกาสสำหรับผู้ประกอบการในแง่การส่งออกและการลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มสินค้าผลไม้ อาหารแปรรูป และเครื่องใช้ไฟฟ้า
ทั้งนี้ ปัจจุบันไทยยังคงได้รับสิทธิประโยชน์ภายใต้ระบบ GSP 5 ประเทศ ประกอบด้วย สหรัฐอเมริกา สวิตเซอร์แลนด์ รัสเซียและเครือรัฐเอกราชนอร์เวย์ และญี่ปุ่น โดยในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2561 (ม.ค.-ก.ค.) มูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้ระบบ GSP เท่ากับ 2,732.18 ล้านดอลลาร์สหรัฐ การใช้สิทธิร้อยละ 59.22 ของมูลค่าการส่งออกที่ได้รับสิทธิ GSP ขยายตัวร้อยละ 2.80 โดยการใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้ระบบ GSP สหรัฐอเมริกายังคงมีสัดส่วนการใช้สิทธิมากที่สุด คือ ประมาณร้อยละ 96 ของมูลค่าการใช้สิทธิ GSP ทั้งหมด ซึ่งในช่วง 7 เดือนแรกของปี มูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้ระบบ GSP สหรัฐอเมริกาอยู่ที่ 2,478.50 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มีอัตราการใช้สิทธิร้อยละ 68.32 ของมูลค่าการส่งออกที่ได้รับสิทธิ GSP ซึ่งมีมูลค่า 3,627.56 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันในปีที่ผ่านมาร้อยละ 4.53 สินค้าที่มีมูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ฯ ภายใต้ระบบ GSP สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ ส่วนประกอบเครื่องปรับอากาศ เครื่องดื่มอื่น ๆ ถุงมือยาง อาหารปรุงแต่ง และรถจักรยานยนต์
อย่างไรก็ตาม กรมการค้าต่างประเทศตั้งเป้าหมายมูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ฯ ตลอดปี 2561 ไว้ที่ร้อยละ 9 คิดเป็นมูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ฯ ประมาณ 70,794 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ฯ ในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมา คิดเป็นร้อยละ 60.3 ของเป้าหมายมูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ฯ และเมื่อพิจารณาถึงมูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ฯ ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกที่มีความชัดเจนมากขึ้น และผลจากการปรับปรุงระบบการให้บริการ เพื่ออำนวยความสะดวกทางการค้าที่สะดวกรวดเร็ว ลดขั้นตอนและค่าใช้จ่าย รวมถึงการจัดกิจกรรมสัมมนาเผยแพร่ความรู้และประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประกอบการตระหนักถึงสิทธิประโยชน์ภายใต้ความตกลงการค้าเสรีต่าง ๆ กรมฯ จึงมั่นใจว่ามูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ฯ จะขยายตัวอย่างต่อเนื่องตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ และมีความเป็นไปได้ที่จะขยายตัวมากกว่าร้อยละ 10 ตลอดทั้งปี .-สำนักข่าวไทย