กรุงเทพฯ 29 ส.ค. – ไทยออยล์เดินหน้าโครงการ CFP ขยายกำลังกลั่นเพิ่มสารตั้งต้นรับปิโตรเคมี 4 ของรัฐบาล คาดลงทุน 4.174 พันล้านเหรียญ หลังให้ GPSC สร้างโรงไฟฟ้า
นายอธิคม เติบศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นบริษัทฯ ซึ่งประชุมเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2561 มีมติอนุมัติการลงทุนโครงการพลังงานสะอาด (Clean Fuel Project หรือ CFP) เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันด้วยการปรับปรุงประสิทธิภาพกระบวนการผลิต เพื่อเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ซึ่งเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รวมทั้งเพิ่มกำลังการกลั่นน้ำมันดิบจากเดิมที่ 275,000 บาร์เรลต่อวัน เป็น 400,000 บาร์เรลต่อวัน โดยโครงการใช้ระยะเวลาดำเนินโครงการ 5 ปี และมีวงเงินลงทุนทั้งสิ้นประมาณ 4,825 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยบริษัทฯ มีแนวทางเพิ่มเติมในการจัดหาผู้สนใจลงทุนในหน่วยผลิตไฟฟ้า (Energy Recovery Unit : ERU) ซึ่งจะทำให้วงเงินลงทุนลดลงเป็นไม่เกิน 4,174 ล้านเหรียญสหรัฐ
นายอธิคม กล่าวว่า สภาวะอุตสาหกรรมโรงกลั่นน้ำมันปิโตรเลียมในช่วงที่ผ่านมามีการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างมากจากการเกิดขึ้นของโรงกลั่นใหม่หลายแห่ง ซึ่งมีข้อได้เปรียบจากการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยและมีกำลังการผลิตสูง ทำให้โรงกลั่นที่มีอายุการใช้งานมานานมีความสามารถในการแข่งขันลดลง นอกจากนี้ ความต้องการผลิตภัณฑ์น้ำมันเชื้อเพลิงแต่ละชนิดก็มีแนวโน้มเปลี่ยนแปลง เช่น ความต้องการน้ำมันเตากำมะถันสูง ซึ่งคาดว่าจะลดลงอย่างมีนัยสำคัญจากการประกาศห้ามใช้ในเรือเดินสมุทรขององค์กรการเดินเรือระหว่างประเทศ (International Maritime Organization หรือ IMO) และแนวโน้มการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของน้ำมันดีเซลและน้ำมันอากาศยานตามการเติบโตของสภาพเศรษฐกิจและการเดินทางทางอากาศ เป็นต้น
ดังนั้น CFP จึงรองรับแนวโน้มความเปลี่ยนแปลงดังกล่าว เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการผลิต โดยจะทำการก่อสร้างหน่วยกลั่นน้ำมันดิบใหม่ที่มีกำลังการกลั่นสูงมาทดแทนหน่วยกลั่นน้ำมันเดิม ซึ่งมีอายุการใช้งานมานาน ทำให้เกิดการประหยัดจากขนาด (Economies of Scale) และใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยทำให้สามารถกลั่นน้ำมันดิบได้หลากหลายชนิดขึ้น การติดตั้งหน่วยเพิ่มคุณค่าผลิตภัณฑ์เพื่อเปลี่ยนน้ำมันเตาและยางมะตอยเป็นน้ำมันดีเซลและน้ำมันอากาศยาน เป็นต้น การลงทุนโครงการ CFP ยังจะสร้างประโยชน์ให้กับประเทศในหลาย ๆ ด้าน อาทิ เสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน สร้างโอกาสการเป็น Energy Hub ของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) สนับสนุนการขับเคลื่อนและการขยายตัวเศรษฐกิจของประเทศจากการจ้างงานทั้งทางตรงและทางอ้อม นอกจากนี้ โครงการ CFP ยังผลิตสารตั้งต้นของอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ซึ่งสามารถสนับสนุนโครงการปิโตรเคมีระยะ 4 ของภาครัฐ อีกด้วย
ก่อนหน้านี้นายเติมชัย บุนนาค ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ (GPSC) ระบุว่าได้ศึกษาความเป็นไปได้การลงทุนโรงไฟฟ้าขนาด 250 เมกะวัตต์ สำหรับโครงการ CFP ที่จะเสร็จในปี 2566 .- สำนักข่าวไทย