กรุงเทพฯ 8 ส.ค. – ไทยออยล์ประเมินผลกระทบคว่ำบาตรอิหร่าน ทำให้ราคาน้ำมันดิบจะขยับขึ้นหลังน้ำมันดิบดูไบ ปิดไตรมาส 2/61 ที่ 73.6 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล
นายอธิคม เติบศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน)หรือ TOP คาดแนวโน้มภาวะอุตสาหกรรมในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ตลาดน้ำมันดิบในไตรมาส 3/2561 จะได้รับแรงกดดันจากปริมาณการผลิตน้ำมันดิบที่มีแนวโน้มสูงขึ้นจากสหรัฐ กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และรัสเซีย ก่อนที่ราคาน้ำมันดิบจะปรับเพิ่มขึ้นในไตรมาส 4/2561 โดยได้รับแรงหนุนจากปริมาณการส่งออกจากประเทศอิหร่านที่มีแนวโน้มลดลง หลังประเทศต่าง ๆ ปรับลดปริมาณการนำเข้าน้ำมันดิบก่อนกำหนดการคว่ำบาตรอิหร่านในวันที่ 4 พฤศจิกายน 2561 ซึ่งอาจส่งผลให้ปริมาณการส่งออกของอิหร่านปรับลดลงกว่า 1 ล้านบาร์เรล/วัน ขณะที่ปริมาณการผลิตน้ำมันดิบของเวเนซุเอลามีแนวโน้มที่จะปรับลดลงต่อเนื่อง หลังเผชิญหน้ากับวิกฤติเศรษฐกิจและความไม่สงบในประเทศ
สำหรับผลดำเนินการไตรมาส 2/2561 ของไทยออยล์มีกำไรสุทธิ 4,794.74 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่ทำไว้ 3,249.53 ล้านบาท คิดเป็นเพิ่มขึ้น 1,545.21 ล้านบาท หรือร้อยละ 47.55 จากราคาขายเฉลี่ยที่ปรับเพิ่มขึ้นมากตามราคาน้ำมันดิบและปริมาณจำหน่ายผลิตภัณฑ์โดยรวมที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อย โดยค่าการกลั่นรวม หรือ GIM ไม่รวมผลกระทบจากสตอกน้ำมันอยู่ที่ 5.9 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จาก 8.3 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลในงวดปีก่อน หรือลดลง 2.4 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จากค่าการกลั่นที่ปรับตัวลดลงหลังได้รับแรงกดดันจากราคาน้ำมันดิบ และ Crude Premium ที่ปรับเพิ่มขึ้นมาก ประกอบกับ ส่วนต่างราคาน้ำมันเบนซินกับราคาน้ำมันดิบดูไบที่ลดลง รวมทั้งส่วนต่างราคาสารอะโรเมติกส์กับน้ำมันเบนซิน 95 และส่วนต่างราคาน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานกับน้ำมันเตาได้ปรับลดลงเช่นกัน
แต่ในส่วนของ GIM ที่รวมผลกระทบจากสตอกน้ำมันไตรมาส 2/2561 อยู่ที่ 10.9 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จาก 6.2 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ในงวดปีก่อน หรือเพิ่มขึ้น 4.7 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เนื่องจากมีกำไรจากสตอกน้ำมัน หลังราคาน้ำมันดิบดูไบ ปิดสิ้นไตรมาส 2/2561 อยู่ที่ 73.6 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จากระดับปิดสิ้นไตรมาส 1/2561 ที่ 62.7 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ขณะที่มีผลขาดทุนจากสต็อกน้ำมันในไตรมาส 2/2560
นายบัณฑิต สะเพียรชัย กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า รายได้ในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ บริษัทฯ มีการรับรู้ผลการดำเนินงานจากการจำหน่ายไฟฟ้าของบริษัทฯ และรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนในบริษัทย่อย โดยบริษัทฯ มีรายได้จากการขายไฟฟ้าประมาณ 874 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.0 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 1 ของปี 2561 โดยรายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้าลดลงร้อยละ 1.8 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2560 สาเหตุเกิดจากความเข้มของแสงในไตรมาสที่ 2/2561 ลดลงทั้งในประเทศไทยและประเทศญี่ปุ่น ขณะที่ EBITDA ไตรมาสนี้อยู่ที่ 670 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 13.1 เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2561 ส่งผลให้บริษัทฯ มีกำไรสุทธิประมาณ 419 ล้านบาท.-สำนักข่าวไทย