เกษตรฯ รุกปราบแก๊งลักลอบส่งออกต้นพันธุ์ทุเรียน

กรุงเทพฯ  30 พ.ค. – กรมวิชาการเกษตรเตรียมจับแก๊งค้าต้นพันธุ์ทุเรียน หลังได้รับแจ้งเบาะแสที่ด่านสิงขร จ.ประจวบฯ หวั่นลักลอบนำพันธุ์ไปปลูกเป็นคู่แข่งกระทบเกษตรกรไทย    


นายสุวิทย์ ชัยเกียรติยศ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร  เปิดเผยว่า  กรมวิชาการเกษตรได้รับรายงานจากสภาเกษตรกร จังหวัดประจวบคิรีขันธ์  ว่า มีการเปลี่ยนการขนถ่ายพันธุ์ทุเรียน ซึ่งเป็นพืชสงวนตาม พ.ร.บ.พันธุ์พืช ปี 2518 ด่านสิงขร จังหวัดประจวบคิรีขันธ์  จึงสั่งการให้เจ้าหน้าที่ของกรมวิชาการเกษตรในพื้นที่ไปตรวจสอบบริเวณที่ได้รับการร้องเรียนดังกล่าว โดยพบบริเวณบ้านพักตามที่ได้รับแจ้งมีการกักเก็บต้นพันธุ์ทุเรียนจำนวนมาก รวมถึงต้นพันธุ์มะขาม  ลำไย  มะนาว  ชมพู่ และไม้ผลอื่น ๆ แต่ยังไม่พบเห็นการเคลื่อนย้ายต้นไม้ดังกล่าว เบื้องต้นได้ข้อมูลว่าผู้ส่งออกเป็นคนไทยพลัดถิ่น (พม่าสัญชาติไทย) และนำต้นพันธุ์ทุเรียนมาจากแหล่งอื่น  เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวไม่มีการปลูกทุเรียน เพราะสภาพดินและน้ำไม่เหมาะสม นอกจากนี้ จากการสอบถามเจ้าหน้าที่ศุลกากรได้รับแจ้งว่าไม่มีการส่งออกพันธุ์ทุเรียนหรือพืชสงวนอื่น ๆ แต่อย่างใด


ทั้งนี้ ในเบื้องต้นเจ้าหน้าที่ของกรมวิชาการเกษตรได้ตั้งข้อสังเกตว่าอาจจะมีการลักลอบส่งออกต้นพันธุ์ทุเรียนตามที่ได้รับรายงาน  เนื่องจากพบเห็นต้นพันธุ์ทุเรียนในเขตด่านสิงขร ทั้งที่พื้นที่ดังกล่าวไม่ใช่เขตปลูกทุเรียน  และหากมีการลักลอบส่งออกไปฝั่งประเทศเพื่อนบ้านแสดงว่าจะต้องมีพื้นที่ปลูกจำนวนมากและมีที่พักสินค้าเพื่อรอการขนย้าย รวมทั้งยังพบว่ามีการใช้รถยนต์ที่ไม่มีแผ่นป้ายทะเบียนรอการขนส่ง     นอกจากนี้ อาจมีความเป็นไปได้ที่ขนส่งทางช่องทางอื่นโดยไม่ผ่านเจ้าหน้าที่

อธิบดีกรมวิชาการเกษตร  กล่าวว่า หลังจากได้รับรายงานถึงข้อสังเกตุดังกล่าว จึงได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ของกรมวิชาการเกษตรในพื้นที่ซุ่มดูพฤติกรรมอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจากจำนวนต้นพันธุ์ทุเรียนที่เห็นหากใช้รถขนส่งเพียงคันเดียวอาจต้องใช้เวลาขนส่งอีกประมาณ 3 – 4 วัน จึงจะขนส่งได้หมด หากพบว่ามีการลักลอบขนส่งจริงจะแจ้งให้สภาเกษตรฯ แจ้งตำรวจกองปราบเพื่อดำเนินการดักจับในวันต่อไป  เพื่อให้เกิดการรับรู้ถึงมาตราการป้องกันและกฏหมาย  แต่หากไม่พบการเคลื่อนย้ายแสดงว่าผู้ประกอบการรับรู้และระวังตัว

อย่างไรก็ตาม ในช่วงนี้กรมวิชาการเกษตรจะจัดส่งเจ้าหน้าที่ด่านตรวจพืชระนองเข้าเวรประจำทุกวันที่ด่านสิงขร เพื่อเป็นการเฝ้าระวังและปรามการกระทำผิด  และจัดทำป้ายติดประกาศทั้งภาษาไทยและพม่าถึงพืชสงวนของไทยและโทษของการลักลอบส่งออก  โดยผู้ที่ฝ่าผืนต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 4,000 บาท หรือทั้งจำและปรับ  ซึ่งจุดมุ่งหมายที่มีการกำหนดพืชสงวนขึ้นใน พ.ร.บ.พันธุ์พืช พ.ศ.2518 เนื่องจากเกรงว่าหากพันธุ์พืชที่ดีเหล่านี้ถูกนำไปปลูกในต่างประเทศแล้วจะกลับมาเป็นคู่แข่งทางการค้าได้จึงห้ามส่งออก พืชสงวนมีทั้งสิ้น 11 ชนิด คือ ทุเรียน  ส้มโอ  องุ่น  ลำไย  ลิ้นจี่  มะขาม  มะพร้าว  กวาวเครือ  ทองเครือ  สละ และสับปะรด.-สำนักข่าวไทย


ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

เชียงใหม่อากาศแปรปรวน เจอลมหนาว-ฝนตก 3 วันติด

ชาวเชียงใหม่เจอลมหนาวและฝนตกต่อเนื่อง 3 วันติด อุตุฯ ย้ำอากาศแปรปรวน เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน เชียงราย ยังมีฝนตกและลมหนาว แนะรักษาสุขภาพ

“อัจฉริยะ” ยื่นสอบปม “ทนายตั้ม” ปูดข่าวผู้บริหารปลอมเอกสารขยายอายุเกษียณ

“อัจฉริยะ” ยื่นหนังสือตรวจสอบข้าราชการช่วยผู้บริหารรัฐวิสาหกิจปลอมเอกสารขยายอายุเกษียณ คาดอาจมีทนายดังเข้าไปเอี่ยว เสนอตำรวจให้สอบพยานรายสำคัญที่เป็นประโยชน์กับ “มาดามอ้อย”

“ทนายตั้ม” เครียดหนัก หลัง 3 บิ๊ก บช.ก. สอบปากคำ

“ทนายตั้ม” เครียดหนัก หลัง 3 บิ๊กสอบสวนกลาง สอบปากคำ นานกว่า 5 ชั่วโมง ขณะที่พนักงานสอบสวนเตรียมเข้าค้น “ษิทรา ลอว์ เฟิร์ม” เช้าพรุ่งนี้ หาหลักฐานเพิ่ม ก่อนฝากขังช่วงบ่าย ค้านประกันตัว

“บิ๊กอ้อ” เผย “ทนายตั้ม-ภรรยา” มีพฤติการณ์หนี-ยุ่งเหยิงพยานฯ

“บิ๊กอ้อ” ชี้ตำรวจต้องออกหมายจับ “ทนายตั้ม” เหตุพบพฤติการณ์เตรียมหลบหนีออกนอกประเทศ และยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน นอกจากนี้ยังมีคดีต่อเนื่อง 3 คดี เตรียมแจ้งข้อหาเพิ่ม

ข่าวแนะนำ

อุตุฯ เผย “เหนือ-อีสาน” อากาศเย็นตอนเช้า-ภาคใต้ฝนหนัก

กรมอุตุฯ เผย “เหนือ-อีสาน” อากาศเย็นในตอนเช้า เตือนภาคใต้ฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง พร้อมอัปเดตเส้นทางพายุ “หยินซิ่ง”

MOU44

MOU 44 ผลประโยชน์ชาติ กับ การเมือง ตอนที่ 1

ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา เรื่องเอ็มโอยู 44 และเส้นแบ่งอาณาเขตทางทะเล หรือเส้นเคลม กลายเป็นปมร้อน ท่ามกลางความกังวลถึงผลประโยชน์ของชาติทางทะเล และสิทธิเหนือเกาะกูด ติดตามความเห็นและมุมมองจากผู้เกี่ยวข้องในรายงาน “ปมร้อน เอ็มโอยู 44 ผลประโยชน์ชาติ กับ การเมือง”

ทนายตั้ม

“ทนายตั้ม” สร้างตัวตนผ่านสื่อ หวังหาผลประโยชน์หรือไม่

หลังจากพนักงานสอบสวนควบคุมตัว “ทนายตั้ม” และภรรยา เข้าเรือนจำไปแล้ว มีคำถามตามมาว่า ทนายคนดังสร้างตัวตนจนโดดเด่นในสังคม เพื่อหาผลประโยชน์จากความน่าเชื่อถือที่สร้างไว้หรือไม่