สิงคโปร์ 17 พ.ค.- นักวิเคราะห์ชี้ว่า ราคาน้ำมันดิบที่ใกล้ทะลุบาร์เรลละ 80 ดอลลาร์สหรัฐ อาจทำให้เอเชียที่มีความต้องการใช้น้ำมันมากเป็นประวัติการณ์ต้องจ่ายค่านำเข้าน้ำมันดิบในปีนี้มากถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 32 ล้านล้านบาท) หรือสองเท่าของช่วงตลาดน้ำมันซบเซาในปี 2558/2559
ราคาน้ำมันดิบขณะนี้ปรับขึ้นแล้ว 1 ใน 5 จากเดือนมกราคม สูงสุดนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2557 ประกอบกับดอลลาร์สหรัฐที่ใช้เป็นสกุลเงินซื้อขายน้ำมันแข็งค่าขึ้น ทำให้เกิดความวิตกว่าเศรษฐกิจต่าง ๆ จะได้รับกระทบ โดยเฉพาะเอเชียที่พึ่งพาน้ำมันนำเข้า ราคาน้ำมันที่แพงขึ้นจะทำให้อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น ส่งผลเสียทั้งต่อผู้บริโภคและภาคธุรกิจ บริษัทบางแห่งเผยว่า สามารถผลักภาระราคาน้ำมันที่ปรับขึ้นไปให้ผู้บริโภคได้ แต่บางบริษัทเผยว่า หากทำเช่นนั้นก็จะเสียลูกค้า นักเศรษฐศาสตร์เตือนว่า ถึงเวลาที่เอเชียต้องพิจารณาเรื่องลดการพึ่งพาน้ำมันนำเข้าและเพิ่มศักยภาพด้านพลังงานของตนเองอย่างจริงจังเพื่อไม่ให้เศรษฐกิจถูกกระทบหนักจากราคาน้ำมันปรับขึ้นกะทันหัน
ทั่วโลกใช้น้ำมันวันละ 100 ล้านบาร์เรล ในจำนวนนี้กว่าร้อยละ 35 เป็นการบริโภคของเอเชีย ซึ่งเป็นภูมิภาคที่ผลิตน้ำมันได้น้อยที่สุดในโลก โดยผลิตได้ไม่ถึงร้อยละ 10 ปัจจุบันจีนเป็นผู้นำเข้าน้ำมันดิบมากที่สุดของเอเชียและของโลก เฉลี่ยวันละ 9.6 ล้านบาร์เรลเมื่อเดือนก่อน คิดเป็น 1 ใน 10 ของการบริโภคทั้งโลก ราคาน้ำมันขณะนี้ทำให้จีนต้องจ่ายค่านำเข้าน้ำมันวันละ 768 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 24,635 ล้านบาท) ขณะที่ประเทศรายได้น้อยแต่ต้องพึ่งพาน้ำมันอย่างอินเดียและเวียดนามจะยิ่งเดือดร้อนหนัก เพราะเศรษฐกิจไม่สามารถดูดซับราคาน้ำมันที่ปรับขึ้นกะทันหันได้ คนในประเทศยากจนต้องจ่ายค่าน้ำมันถึงร้อยละ 8-9 ของรายได้เฉลี่ยต่อเดือน เทียบกับคนในประเทศร่ำรวยที่เสียค่าน้ำมันเพียงร้อยละ 1-2 ของรายได้เฉลี่ยต่อเดือน.- สำนักข่าวไทย