กรุงเทพฯ 22 เม.ย. – ธนาคารออมสินคาดปี 61 เศรษฐกิจไทยขยายตัวดีขึ้นอยู่ที่ร้อยละ 4.2 จากส่งออก ท่องเที่ยว และการใช้จ่ายภาครัฐหนุน
นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจ ธุรกิจ และเศรษฐกิจฐานราก ธนาคารออมสิน คาดว่าเศรษฐกิจไทยไตรมาส 1 ปี 2561 จะขยายตัวร้อยละ 4.0 เท่ากับไตรมาสก่อนและตลอดทั้งปี 2561 มีแนวโน้มขยายตัวดีขึ้นอยู่ร้อยละ 4.2 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาที่อยู่ร้อยละ 3.9 จากภาคการส่งออกและการท่องเที่ยวที่ยังคงขยายตัวได้ดีต่อเนื่อง ประกอบกับการเร่งใช้จ่ายของภาครัฐทั้งการลงทุนและเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับฐานรากจะเป็นตัวเร่งให้การบริโภคภาคเอกชนมีการขยายตัวมากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ มีปัจจัยสนับสนุนจากการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก รวมถึงประเทศคู่ค้ามีความแข็งแกร่งมากขึ้น ทำให้ภาคการส่งออกและการท่องเที่ยวของไทยขยายตัวต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา ส่งผลดีต่อสาขาการผลิตที่เกี่ยวเนื่อง การใช้จ่ายของภาครัฐบาลมีปัจจัยสนับสนุนจากงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม (งบกลางปี) เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 150,000 ล้านบาท ตามโครงการ “ไทยนิยม ยั่งยืน” ซึ่งจะส่งผลดีต่อการบริโภคของภาคครัวเรือน การลงทุนภาครัฐปีนี้คาดว่าจะกลับมาขยายตัวสูงขึ้นหลังจากหดตัวในปีที่ผ่านมาจากปัญหาการเบิกจ่ายงบประมาณล่าช้าหลังจาก พ.ร.บ.การจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 ประกาศใช้ การบริโภคภาคเอกชนขยายตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป อย่างไรก็ตามการขยายตัวยังคงเปราะบางในกลุ่มผู้มีรายได้น้อยที่อยู่ในภาคเกษตร การดำเนินนโยบายทางการเงินแบบผ่อนคลายของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีส่วนช่วยสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจและเอื้อให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมาย
สำหรับปัจจัยเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทยปี 2561 ได้แก่ 1. ความชัดเจนของการเลือกตั้งมีความสำคัญต่อการตัดสินใจลงทุนของภาคเอกชน 2. หนี้อุปโภคบริโภคและธุรกิจ SMEs มีแนวโน้มทรงตัวอยู่ในระดับสูง ส่งผลต่อกำลังซื้อและทำให้ธนาคารเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น 3. การดำเนินนโยบายปกป้องทางการค้าของสหรัฐอาจส่งผลกระทบให้การค้าโลกชะลอตัวได้ 4. ทิศทางการดำเนินนโยบายทางการเงินของประเทศเศรษฐกิจหลัก มีแนวโน้มตึงตัวมากยิ่งขึ้น 5. ปัญหาทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ในหลายๆส่วนของโลก ที่ยังคงปรากฏอยู่และอาจก่อตัวพัฒนาเป็นปัญหาที่ใหญ่ขึ้น
ด้านเสถียรภาพทางเศรษฐกิจอยู่ในเกณฑ์ดี จากดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลที่อยู่ในระดับสูง ซึ่งเป็นผลจากการเกินดุลการค้าและบริการที่ขยายตัวได้ดีต่อเนื่อง รวมถึงการดำเนินนโยบายแบบผ่อนคลายเอื้อต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีทิศทางปรับตัวสูงขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้เนื่องจากราคาอาหารสดที่ลดลงมากกว่าคาด อย่างไรก็ตาม อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำเป็นระยะเวลานานอาจทำให้เกิดพฤติกรรมแสวงหาผลตอบแทนที่สูงขึ้น เนื่องจากผู้ลงทุนประเมินความเสี่ยงต่ำกว่าความเป็นจริง.-สำนักข่าวไทย