กระทรวงเกษตรฯ 15 เม.ย.-กระทรวงเกษตรฯ
ชี้การบริหารจัดการคุณภาพและปริมาณผลไม้ภาคตะวันออก
ช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มแก่เกษตรกร หลังปริมาณผลไม้ตะวันออกปี 2561 ลดลงจากปี 2560 ถึงร้อยละ
18.25 เนื่องจากสภาพอากาศแปรปรวน
นายวิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข
เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร(สศก.)
เปิดเผยข้อมูลการบูรณาการสำรวจจัดทำข้อมูลปริมาณการผลิตไม้ผลปี 2561 ซึ่ง สศก.
โดยสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรที่ 6 จังหวัดชลบุรี (สศท.6) และศูนย์สารสนเทศการเกษตร
ของ สศก. ร่วมกับคณะทำงานสำรวจข้อมูลไม้ผลเศรษฐกิจภาคตะวันออก วิเคราะห์ผลสำรวจ
ในพื้นที่จังหวัดระยอง จันทบุรี และตราด
เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการวางแผนบริหารจัดการไม้ผลตั้งแต่ต้นฤดู พบว่า ณ 4 เมษายน
2561เนื้อที่ยืนต้นของไม้ผลทั้ง 4 ชนิด มีจำนวน 678,203 ไร่ เพิ่มขึ้นจากปี 2560
ที่มีจำนวน 677,061 ไร่ หรือร้อยละ 0.17 โดยทุเรียนเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.56
ขณะที่มังคุดลดลงร้อยละ 0.30 เงาะ ลดลงร้อยละ 1.63 และ ลองกอง ลดลงร้อยละ 8.97
ซึ่งการลดลดลงของมังคุด เงาะ และลองกอง เป็นการตัดโค่น
สางต้นออกเพื่อปลูกทุเรียนทดแทน
สำหรับเนื้อที่ให้ผลของไม้ผลทั้ง 4 ชนิด มีจำนวน
615,172 ไร่ เพิ่มขึ้นจากปี 2560 ที่มีจำนวน 605,481 ไร่ หรือร้อยละ 1.60)
โดยทุเรียนเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.32 มังคุดเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.49 ส่วนเงาะลดลงร้อยละ
0.94 และลองกองลดลงร้อยละ 6.89 อย่างไรก็ตาม ด้านผลผลิตรวมทั้ง
4 สินค้า มีประมาณ 647,522 ตัน ลดลงจากปี 2560 ที่มีจำนวน 792,113 ตัน หรือร้อยละ
18.25 ซึ่งผลผลิตรวมของทั้ง 4 สินค้าจะลดลงทุกชนิด โดย มังคุด ลดลงมากที่สุด
ร้อยละ 64.81 รองลงมาคือ ลองกอง ลดลงร้อยละ 32.05 เงาะ ลดลงร้อยละ 9.81 และทุเรียน
ลดลงร้อยละ 4.37 เนื่องจากสภาพอากาศแปรปรวน ทั้งอากาศหนาว ร้อน
และฝนตกสลับในแต่ละวัน ทำให้ไม้ผลปรับสภาพต้นไม่ทัน ไม่เอื้ออำนวยในการติดดอก
ออกผล ไม้ผลออกใบอ่อนแทนการออกดอก ทั้งนี้
ผลผลิตจะออกมากช่วงปลายเดือนพฤษภาคมต่อเนื่องถึงต้นเดือนมิถุนายน
อย่างไรก็ตามสถานการณ์ในขณะนี้
สภาพดินฟ้าอากาศแปรปรวนในช่วงเดือนเมษายน
มีพายุฤดูร้อนซึ่งอาจจะส่งผลกระทบกับไม้ผล
ผลผลิตร่วงหล่นเสียหายเพิ่มเติมจากที่ผลวิเคราะห์ประมาณการผลผลิตไว้ในครั้งนี้
ซึ่งสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรจะได้ติดตามสถานการณ์ ความเสียหายจากภัยต่าง ๆ
ที่จะกระทบกับปริมาณผลผลิตในภาพรวมต่อไป
นายสรวิศ ธานีโต โฆษกกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
เปิดเผยถึงแนวทางบริหารจัดการผลไม้ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ปี 2561 ว่า
กระทรวงเกษตรฯ ยังเน้นเรื่องคุณภาพ ปริมาณ และความปลอดภัยเป็นสำคัญ
ควบคู่กับการสร้างมูลค่าเพิ่ม เช่น การส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพผลผลิตสู่มาตรฐาน (GAP) และมาตรฐานเกษตรอินทรีย์
ส่งเสริมเกษตรกรให้รวมกลุ่มเพื่อผลิตไม้ผลในลักษณะแปลงใหญ่
อบรมและถ่ายทอดเทคโนโลยี ส่วนในเชิงปริมาณ เช่น การเชื่อมโยงตลาดล่วงหน้า
การจัดทำแผนบริหารจัดการผลผลิตส่วนเกิน
โดยจังหวัดภาคตะวันออกได้จัดทำรายละเอียดของแผนบริหารจัดการผลไม้ในพื้นที่มีคณะกรรมการฯ
เพื่อแก้ไขปัญหาเกษตรกรอันเนื่องมาจากผลิตผลการเกษตรระดับจังหวัด (คพจ.)
เป็นแกนหลักในการกลั่นกรองเชื่อมโยงบูรณาการแผนงานหรือโครงการ ขณะที่การบริหารจัดการเรื่องคุณภาพของสินค้า
โดยเฉพาะคุณภาพของทุเรียน ที่ภาคตะวันออก เน้นให้ทั้งผู้ผลิตและผู้ค้า (ล้ง และ
แม่ค้า) ตัด รับซื้อ และขายทุเรียนที่ได้อายุตัดตามมาตรฐาน มีการออกประกาศควบคุมและบทลงโทษของผู้กระทำผิด-สำนักข่าวไทย