สำนักข่าวไทย 14 ก.พ.- เปิดมุมมองความรักรองโฆษก อสส. “รักคือการให้” ไม่ใช่ “รักแล้วต้องฆ่า” พร้อมยืดอกยอมรับเคยอกหักสมัยหนุ่ม ๆ เพราะฝ่ายหญิงสวยเลือกได้ แนะหมั่นเติมความหวานชีวิตคู่
เนื่องในวันแห่งความรัก(วาเลนไทน์เดย์) นายโกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด(รองโฆษก อสส.) ได้นำคำพิพากษาฎีกาที่ 6083/2546 ซึ๋งเป็นคดีพิษสวาทฆาตกรรม ที่ติดสินเมื่อปี 2546 มีใจความตอนหนึ่ง ระบุว่า “จำเลยถูกผู้ตายข่มเหงจิตใจอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม เพราะจำเลยกับผู้ตายมีความสัมพันธ์ฉันคนรัก แต่ผู้ตายต้องการเลิกความสัมพันธ์กับจำเลยไปมีรักกับผู้ชายคนใหม่ จำเลยจึงบันดาลโทสะฆ่าผู้ตาย”
คำพิพากษา ยังระบุต่อว่า “ศาลเห็นว่าจำเลยปราถนาจะยึดครองผู้ตายเพื่อความสุขของจำเลยเอง เมื่อไม่สมหวังจำเลยก็ฆ่าผู้ตาย เป็นความคิดและการกระทำที่เห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ของจำเลยโดยฝ่ายเดียว มิได้คำนึงถึงจิตใจและความรู้สึกของผู้ตายหาใช่ความรักไม่…”
นายโกศลวัฒน์ เปิดเผยว่า เหตุผลที่หยิบยกคำพิพากษาคดีดังกล่าว มาเปิดเผยเนื่องจากต้องการให้ทราบถึงมุมมองความรักที่แท้จริงว่าเป็นอย่างไร
“ความรักคือการให้ ๆ ได้ทุกอย่าง รักคือกการไม่เห็นแก่ตัว รักทุกคนพ่อแม่ ญาติพี่น้อง และเพื่อนฝูง หากใช้ความรักแบบนี้ จะไม่เกิดความรุนแรงในสังคม” นายโกศลวัฒน์ กล่าวและว่า ถ้ารักแล้วเห็นแก่ตัว ความรุนแรงจะตามมา เหมือนที่มีการกล่าวไว้ว่า “รักต้องฆ่า” ซึ่งไม่ใช่ความรักจริงๆ บางคนรักแฟนจนลืมพ่อแม่ พอผิดหวังก็ฆ่าตัวตาย
รองโฆษก อสส. ยังพูดถึงความรักของตนเองในอดีตว่า เคยอกหักเมื่อสมัยเรียบจบปริญญาตรีใหม่ๆ อายุ 22-23 ปี เนื่องจากฝ่ายหญิงสวยเลือกได้ และมองว่าตนยังไม่ดีพอจึงไปคบกับผู้ชายคนใหม่ แต่หลักอกหักได้พลิกวิกฤตเป็นโอกาส เริ่มต้นความรักครั้งใหม่กับผู้หญิงที่ดีที่สุดและเป็นภรรยาในปัจจุบัน ทุกวันนี้จึงมอบทั้งบัญชีเงินเดือนและบัตรเอทีเอ็ม ให้ภรรยาดูแล
สุดท้ายนี้ รองโฆษก อสส. ยังกล่าวทิ้งท้ายถึงการเติมความหวานในชีวิตคู่ว่า การใช้ชีวิตคู่ คือการอยู่ด้วยกันเหมือนเพื่อน ทั้งช่วงเวลาสุขและทุกข์ โดยเฉพาะช่วงที่ทุกข์ภรรยาก็จะยังอยู่กับเราเป็นกำลังใจให้กันเสมอ.- สำนักข่าวไทย