อุดรธานี 17 มี.ค. – ชายวัย 60 ปี คลั่งทำร้ายพยาบาลและเจ้าหน้าที่ อ้างกลัวตายถูกจับใส่เครื่องช่วยหายใจ แค่มาเอายาหอบหืด ยอมรับเมา อยากขอโทษพยาบาลและเจ้าหน้าที่ทุกคน
จากเหตุการณ์ลุงคลั่งทำร้ายพยาบาลและเจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาลหนองหาน จ.อุดรธานี เมื่อวันที่ 16 มีนาคมที่ผ่านมา ล่าสุดเจอตัวผู้ก่อเหตุแล้ว เจ้าตัวหน้าจ๋อยขอโทษทำรุนแรง เปิดใจแค่ไปเอายาแก้หอบหืด แต่ถูกพยาบาลจับใส่เครื่องช่วยหายใจ จึงอาละวาดเพราะกลัวตาย
จากกรณีเจ้าหน้าที่และพยาบาลของโรงพยาบาลหนองหาน จ.อุดรธานี 3 คน ถูกคนไข้ชายที่เข้ารับการรักษาโรคหอบหืด ในห้องไอซียู ทำร้ายร่างกาย หลังเกิดอาการคลุ้มคลั่งจากความเมาแล้วโวยวาย ลุกจากเตียงพยายามถอดเครื่องช่วยหายใจ สายให้อาหาร สายสวนปัสสาวะและสายน้ำเกลือออก พยาบาลขอร้องให้ใส่ไว้ ไม่เช่นนั้นจะหายใจลำบาก แต่กลับถูกทั้งเตะ ถีบใบหน้าและหน้าอก จนพยาบาลและผู้ช่วยพยาบาลหน้าหงาย ต้องใช้เจ้าหน้าที่และ รปภ. ช่วยกันถึง 7 คน จึงสยบผู้ป่วยลงได้ โดยเจ้าหน้าที่ต้องฉีดยาสลบให้

ล่าสุดเจอตัวผู้ป่วยคนนี้แล้ว ชื่อนายทองลี หรือลุงเปี๊ยก อายุ 60 ปี ซึ่งเปิดใจให้ฟังว่า ตนเป็นโรคหอบหืด วันนั้นยาหมด จึงเรียกกู้ชีพ อบต.พังงู เพื่อไปรับยาที่โรงพยาบาลหนองหาน แต่กลับกลายเป็นรถฉุกเฉินโรงพยาบาลมารับตัวแทน ซึ่งตนแจ้งไปแล้วว่าอาการไม่หนัก แค่อยากไปรับยาเท่านั้น แต่เจ้าหน้าที่กลับพาไปส่งเข้าห้องไอซียู พยาบาลแหย่สายเครื่องช่วยหายใจที่คอ ด้วยความกลัวจึงดิ้นรน ไม่ยอม และพยายามลุกจากเตียง ใช้มือเท้าฟาดไปทั่ว เพราะกลัวตายจริงๆ ยอมรับถีบหน้าอกพยาบาลหลายคน และรับว่าวันนั้นเมา เรื่องที่เกิดขึ้นอยากขอโทษพยาบาลและเจ้าหน้าที่ทุกคน เรื่องเกิดขึ้นเพราะสื่อสารกันผิด สิ่งที่ทำไปเพราะกลัวตาย เนื่องจากคนแถวบ้านซึ่งเป็นหอบหืดเหมือนกันตายเพราะใส่สายเครื่องช่วยหายใจไป 1 คน เมื่อ 3 วันก่อน ไม่มีเจตนาทำร้ายร่างกายพยาบาลและเจ้าหน้าที่ฯ อยากจะลุกหนีจากเตียงเท่านั้น
ขณะที่พยาบาลที่ถูกถีบหน้าอกและใบหน้า เล่าให้ฟังว่า ผู้ป่วยเป็นโรคหอบหืด มีอาการหนัก จึงต้องนำเครื่องช่วยหายใจ สายให้อาหาร สายสวนปัสสาวะและสายน้ำเกลือ แต่ผู้ป่วยกลับโวยวาย พยายามลุกจากเตียง พยาบาลจึงเข้าไปขอร้อง กลับถูกคนไข้ใช้ทั้งเท้าและหมัดรัวใส่ พยาบาลและผู้ช่วยพยาบาลได้รับบาดเจ็บ 3 คน ตอนนี้ดีขึ้นแล้ว แต่ยังบวมอยู่ และอยากให้คนไข้เข้าใจ ไม่อยากให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก ส่วนจะแจ้งความหรือไม่ รอผู้บริหารตัดสินอีกครั้ง.-สำนักข่าวไทย