กรุงเทพฯ 6 มี.ค. – หอการค้าไทย ชี้เศรษฐกิจโลกและไทยเสี่ยงสูงจากผลกระทบภาษี “ทรัมป์” อาจฉุดจีดีพีไทยปี 68 เหลือ 2.3-2.5% มองเป็นนโยบายกาลักน้ำ จับตาสงครามการค้าสหรัฐ-โลก หวั่นสินค้าต่างประเทศทะลักเข้าไทย ย้ำรัฐต้องตั้งทีมพิเศษร่วมรัฐ-เอกชน เจรจาสหรัฐ เสนอนำเข้า “ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์-ถั่วเหลือง-อาหารทะเล” หลังไทยเกินดุลสหรัฐ ขยับขึ้นเป็นอันดับ 11
หอการค้าไทยออกแถลงการณ์ย้ำรัฐบาล เตรียมความพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ภายใต้การบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งมีความเสี่ยงส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยและโลกอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะการที่ไทยมีความเสี่ยงที่จะถูกขึ้นภาษี เนื่องจากเป็นหนึ่งในประเทศที่สหรัฐฯ ขาดดุลการค้าลำดับที่ 11 นอกจากนี้ หอการค้าไทยยังแสดงความกังวลเกี่ยวกับมาตรการภาษีของสหรัฐฯ กับทั่วโลก ซึ่งอาจทำให้มีสินค้าจากต่างประเทศทะลักเข้าสู่ตลาดอาเซียนรวมถึงไทย โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ยานยนต์ สินค้าอุตสาหกรรม สินค้าอุปโภคบริโภค สินค้าเกษตรและอาหาร เป็นต้น จะสร้างแรงกดดันต่อการส่งออกของไทยและผู้ประกอบการไทยในทุกระดับต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น ดังนั้น ขอให้รัฐบาลเร่งตั้ง “ทีมพิเศษ” (Special Team) ประกอบด้วยภาครัฐและภาคเอกชนที่มีอำนาจสั่งการระดับกระทรวง เพื่อวางแผนรับมือและกำหนดแผนเชิงรุกกกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงของนโยบายเศรษฐกิจการค้าของสหรัฐฯ กับทั่วโลก
สำหรับดุลการค้าไทย-สหรัฐฯ ปี 2566 สหรัฐอเมริกาเป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ของไทย โดยมีมูลค่าการส่งออก 67,659 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ไทยได้เกินดุลการค้าสหรัฐฯ 29,045 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ปี 2567 ข้อมูลเบื้องต้นพบว่าไทยยังคงเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ ประมาณ 45,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้ขยับจากประเทศที่เกินดุลการค้าสหรัฐในลำดับที่ 12 มาเป็นลำดับที่ 11 อาจสะท้อนถึงโอกาสที่ไทยอาจถูกเพ่งเล็งจากรัฐบาลสหรัฐฯ เรื่องความไม่สมดุลทางการค้า โดยที่นโยบายการค้าของทรัมป์มุ่งลดการขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ กับประเทศคู่ค้า ซึ่งอาจนำไปสู่การขึ้นภาษีนำเข้าสำหรับสินค้าจากไทย และเพิ่มความเข้มงวดในการบังคับใช้กฎระเบียบทางการค้าเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ ซึ่งหากไทยไม่สามารถปรับตัวได้อย่างทันท่วงที อาจส่งผลให้มูลค่าการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า หอการค้าได้หารือและส่งสัญญาณไปยังรัฐบาล ให้ดำเนินมาตรการควบคุมและกวดขันการนำเข้าสินค้าอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าที่อาจไม่ได้คุณภาพ หรือสินค้าที่มีราคาถูกจนส่งผลต่อการแข่งขันที่เป็นธรรม (Free and Fair Trade) ภาครัฐควรมีการตรวจสอบมาตรฐานสินค้านำเข้าอย่างละเอียดก่อนอนุญาตให้เข้าสู่ตลาดไทย โดยกำหนดให้สินค้าบางประเภทต้องผ่านการรับรองมาตรฐานจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตรวจสอบแหล่งกำเนิดสินค้าเพื่อป้องกันการปลอมแปลงหรือหลบเลี่ยงภาษี ในส่วนของสินค้าที่ทะลักเข้ามาแล้ว รัฐบาลต้องบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง โดยเฉพาะการกวดขันเรื่องการลักลอบนำเข้าสินค้าโดยไม่เสียภาษี การตรวจสอบการใช้ราคาต่ำผิดปกติเพื่อทำลายการแข่งขัน รวมถึงการป้องกันการทุ่มตลาด (Dumping) ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจภายในประเทศอย่างรุนแรง นอกจากนี้ ควรพิจารณาการออกกฎหมายหรือมาตรการเพิ่มเติมเพื่อป้องกันการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม โดยอาจกำหนดมาตรการปกป้องธุรกิจภายในประเทศจากการทุ่มตลาดของสินค้าต่างชาติ และทบทวนกฎหมายด้านการแข่งขันทางการค้าให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป
นอกจากนี้ หอการค้ายังถอดบทเรียนจากการประกาศที่อเมริกาประกาศภาษีศุลกากรต่อเม็กซิโกและแคนาดาในอัตรา 25% ที่แม้เป็นพันธมิตรและคู่ค้าใหญ่มากของสหรัฐฯ แต่มีความฉับไวในการตัดสินใจต่อรองซื้อเวลาได้อีกหนึ่งเดือน และเมื่อวันที่ 4 มี.ค.2568 ที่ภาษีนำเข้า 25% ถูกบังคับใช้ ทั้งสองประเทศก็สามารถใช้ทีมพิเศษตอบโต้และต่อรองได้คล่องตัว จนมีข่าวว่าทำเนียบขาวส่งสัญญาณจะพบกันกับเม็กซิโกและแคนาดาครึ่งทาง พร้อมกันนี้ ไทยควรให้ความสำคัญกับการดูแลอัตราค่าเงินบาทและอัตราแลกเปลี่ยนด้วย เนื่องจากหลายประเทศที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายภาษีของสหรัฐฯ อาจมีการใช้กลยุทธในการ “บริหารค่าเงิน”เพื่อลดผลกระทบจากภาษี และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ดังนั้น เราจำเป็นต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและไม่ควรมองข้ามประเด็นปัจจัยด้านการเปลี่ยนแปลงค่าเงินและอัตราแลกเปลี่ยน
ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ รองประธานกรรมการ คนที่ 1 กล่าวว่า หอการค้าไทย ห่วงภาพรวมและตัวเลขการค้าของไทยซึ่งได้ดุลการค้าจากสหรัฐสูง เพื่อป้องกันผลกระทบจากนโยบายดังกล่าว ไทยควรพิจารณาเพิ่มการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ โดยเฉพาะสินค้าเกษตร อาหาร และพลังงาน เพื่อลดความกดดันด้านดุลการค้า รวมถึงพิจารณาปฏิรูปโควตาภาษีนำเข้าของไทยกับสหรัฐฯ ให้มีจุดยืนที่เป็นธรรมและเข้มแข็ง (Fair and Strong Position) ในการเจรจากับสหรัฐฯ นอกจากนี้ รัฐบาลควรให้ความสำคัญกับการจัดเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลเสียดุลการค้าภาคบริการ (Deficit on Services) เช่น บริการดิจิทัล ค่าบริหารจัดการ ลิขสิทธิ์ ภาคธนาคาร ภาคประกันภัย การศึกษา เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่ซับซ้อนกว่าตัวเลขการค้าสินค้าเพียงอย่างเดียว
พร้อมย้ำให้รัฐบาลจัดตั้ง “ทีมพิเศษ” (Special Team) ที่มีอำนาจสั่งการกระทรวงสำคัญ เช่น กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรฯ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงดิจิทัลฯ และกระทรวงแรงงาน ร่วมกับภาคเอกชน โดยเฉพาะ สภาหอการค้าฯ และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เพื่อกำหนดยุทธศาสตร์เจรจาเชิงรุกกับสหรัฐฯ ครอบคลุมทั้งการป้องกันมาตรการภาษีที่อาจเกิดขึ้น รวมถึงการใช้โอกาสจาก มาตรการภาษีของทรัมป์ (Trump Tariffs) ซึ่งถือเป็นนโยบายกาลักน้ำ (Zero Sum Game) ที่ประเทศหนึ่งได้อีกประเทศหนึ่งต้องเสีย ดังนั้น ไทยต้องวางกลยุทธ์ให้เป็นฝ่ายได้รับประโยชน์สูงสุดจากการปรับเปลี่ยนโครงสร้างการค้าโลก ซึ่งอาจส่งผลบวกต่อ GDP ไทย 0.5-1.0%
ดร.ชนินทร์ ชลิศราพงศ์ ประธานคณะกรรมการเจรจาการค้าระหว่างประเทศ หอการค้าไทย กล่าวว่า การเพิ่มการนำเข้าสินค้าเกษตรและอาหารที่จำเป็นจากสหรัฐฯ จะช่วยให้ไทยมีจุดยืนที่ดีขึ้นในการเจรจาต่อรอง หากพิจารณามูลค่าการค้าเฉพาะสินค้าหมวดสินค้าเกษตรกรรม (กสิกรรม,ปศุสัตว์,ประมง) และสินค้าอุตสาหกรรมการเกษตร พบว่าไทยเกินดุลสหรัฐฯ เพียง 2,665 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ 7.5% โดยหอการค้าไทยเสนอให้รัฐบาลพิจารณาการนำเข้าสินค้ากลุ่มต่าง ๆ ที่ไทยยังขาดแคลน และการนำเข้าไม่กระทบต่อผู้ค้าและเกษตรกรไทย อาทิ 1) พืชอาหารสัตว์ (ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และถั่วเหลือง) ที่ผ่านมาไทยผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ไม่เพียงพอสำหรับอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ และปัจจุบันยังต้องนำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งอาจเผชิญกับปัญหาสิ่งแวดล้อมและหมอกควัน การเปิดโควตานำเข้าข้าวโพดจากสหรัฐฯ ในช่วงนอกฤดูเก็บเกี่ยวของไทย จะช่วยให้ไทยมีทางเลือกด้านซัพพลายที่มากขึ้น 2) สินค้าอาหารทะเล เช่น ปลาแซลมอนแช่แข็ง หอยเชลล์ และปลาทูน่าจากเรือชักธงสหรัฐฯ ซึ่งไทยสามารถนำเข้าวัตถุดิบเพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมแปรรูปภายในประเทศ
รศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ประเมินการขึ้นกำแพงภาษีเม็กซิโก แคนาดา 25% และจีน รวม 20% และการขึ้นภาษีเหล็ก และอะลูมิเนียม 25% ผลกระทบโดยตรงที่จะเกิดขึ้นกับประเทศไทยในเชิงลบมูลค่า 10,000 ล้านบาท ผลกระทบทางอ้อม 10,000 – 15,000 ล้านบาท รวม 20,000-25,000 ล้านบาท จะส่งผลต่อการเติบโตเศรษฐกิจ (จีดีพี) ลดลง 0.1-0.5% ทำให้จีดีพีปี 2568 อาจขยายตัวไม่ถึง 3.000% แต่ที่น่ากังวลกว่าคือหากมีการขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์ จะกระทบไทยมากขึ้น เนื่องจากไทยส่งออกรถยนต์ไปสหรัฐมูลค่ากว่า 60,000 ล้านบาท โดยจะส่งผลกระทบทางตรง 15,000 ล้านบาท ส่วนผลกระทบที่เกิดจากเม็กซิโก แคนาดา และจีน ซึ่งส่งออกรถยนต์ไปยังสหรัฐจำนวนมากอีกราว 10,000 -20,000 ล้านบาท และถ้ารวม EV ไปด้วยจะเกิดผลกระทบราว 60,000 ล้านบาท จะส่งผลต่อจีดีพี 0.35-0.4% ส่งผลให้จีดีพีปี 2568 อาจขยายตัวในระดับ 2.6-2.8% และในกรณีที่มีการขึ้นกำแพงภาษีทั้งหมดตามที่ “ทรัมป์” เคยหาเสียงไว้ ซึ่งรวมถึงไทยด้วย จะส่งผลกระทบเป็นมูลค่า 1 – 1.5 แสนล้านบาท ส่งผลให้เศรษฐกจิไทยปี 2568 จะขยายตัวในกรอบ 2.3-2.5% ตำกว่าปี 2567
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภาคเอกชน หอการค้าไทย AMCHAM และ US Chamber of Commerce ยังเตรียมจัดงาน “Thailand – US Investment Forum 2025” ระหว่างวันที่ 19 – 20 พฤษภาคม 2568 นี้ เพื่อเสริมความสัมพันธ์อันดีและศักยภาพเศรษฐกิจระหว่างกัน และเตรียมนำนักธุรกิจไทย ร่วมงาน Select USA 2025 ระหว่างวันที่ 11 – 14 พฤษภาคม 2568 ณ มลรัฐแมริแลนด์ สหรัฐอเมริกา เพื่อหาแนวทางในการลงทุนร่วมกัน.-516-สำนักข่าวไทย