รวบขบวนการจีนดำปลอมบัตรเถื่อน พบมีหมายแดงติดตัว

6 มี.ค. – ตำรวจสอบสวนกลาง รวบขบวนการจีนดำ ปลอมบัตรเถื่อน พบมีหมายแดงติดตัวหลอกคนจีนเป็นหมื่นล้าน มาทำซ้ำในประเทศไทย ปลอมบัตรประชาชนเปิดบริษัทรับฟอกเงินให้เมียวดี และปอยเปต


พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วย พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. และ พ.ต.อ.สุริยศักดิ์ จราวัสน์ ผกก.3 บก.ป. ได้ร่วมแถลงจับกุมนายลี และพวก ร่วมกันปลอมแปลงบัตรประชาชน ชี้เป้ารีดเงิน เสียหายหลายหมื่นล้านบาท จับกุมผู้ต้องหา 6 ราย คือ
1.นายลี สัญชาติจีน อายุ 43 ปี
2.นางเอ้ สัญชาติเมียนมา อายุ 30 ปี
ส่วนผู้ต้องหา 4 ราย สัญชาติไทย อยู่ระหว่างจำคุกในคดีอื่น

พ.ต.อ.สุริยศักดิ์ ระบุว่า เริ่มต้นจากมีผู้เสียหายคนจีน ถูกตำรวจยึดทรัพย์จำนวน 5 ล้านบาท เพื่อแลกกับการไม่ถูกดำเนินคดี เข้ามาแจ้งความที่กองปราบ / ผู้เสียหายเล่าว่า เมื่อช่วงประมาณเดือน พ.ย.65 ผู้เสียหายได้เข้าไปในกลุ่ม Facebook ของคนจีน ในนั้นมีโพสต์ระบุว่า “สามารถทำบัตรประชาชน ทะเบียนบ้าน และเอกสารอื่นๆ ของคนไทยได้ ให้คนจีนได้อย่างถูกต้อง คิดค่าดำเนินการ 1 ล้านบาท” ผู้เสียหายเห็นว่าทำได้จริง ก็ได้พูดคุยผ่านแชท จนมีการนัดหมายกันไปทำบัตรประชาชนที่เทศบาลแห่งหนึ่งในภาคอีสาน ในวันนัดหมายทั้งผู้เสียหายและผู้ต้องหาได้เดินทางไปที่เทศบาลตั้งแต่เช้า ดำเนินการตามขั้นตอนทุกอย่าง ทั้งรอคิว ถ่ายรูป แต่ไม่มีการกรอกเอกสารอะไร จนแล้วเสร็จตอนเที่ยง ก็ได้บัตร ปชช.ออกมา จากนั้นก็ได้จ่ายค่าดำเนินการให้กับผู้ต้องหาจำนวน 1 ล้านบาท หลังจากที่ได้บัตรประชาชนมาแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการเอาบัตรประชาชนไปทำพาสปอร์ต ผู้ต้องหามีการพาผู้เสียหายไปที่กรมการกงสุล แจ้งวัฒนะ พอไปถึงมีนายหน้าคนไทยพาไปนั่งรอที่ร้านกาแฟ และในระหว่างที่รอทำบัตรพาสปอร์ตก็มีตำรวจ ตม. 3 นาย แสดงตัวเข้าควบคุมตัวผู้เสียหายและขอตรวจค้น และพบว่ามีบัตรประชาชนปลอม จากนั้นมีการพาตัวเข้าไปในที่ทำการของเจ้าหน้าที่ ตม. และเรียกเงินจำนวน 5 ล้านบาท แต่ผู้เสียหายต่อรองเหลือ 2 ล้านบาท เป็นอันตกลงกันที่เงินจำนวนนี้


จากนั้นทางผู้ต้องหาได้มีการนำ QR Code ที่อยู่ในโทรศัพท์ให้ผู้เสียหายสแกนจ่ายเป็นเงิน USDT หรือเงินคริปโทเคอร์เรนซี จากนั้นเงินก็ไหลเข้ากระเป๋า wallet และก็ถูกโอนต่อไปอีกทอดหนึ่ง จากนั้นผู้เสียหายได้ถูกปล่อยตัวออกมากลางดึกของวันนั้น ผู้เสียหายเกิดความกลัวเลยเก็บเรื่องนี้ไว้นานนับปี จนกระทั่งมีคนแนะนำให้มาแจ้งความที่กองปราบฯ ทาง กก.3 ได้มีการสืบสวนเคสดังกล่าวพบว่า มีกลุ่มบุคคลที่ร่วมกันก่อเหตุอยู่หลายกลุ่ม และมีการทำเป็นกระบวนการ โดยมีเจ้าหน้าที่รัฐร่วมด้วย ในการทำ บัตร ปชช.จะมีการสวมเลขบัตรของคนไทยในจังหวัดที่ห่างไกล จากการตรวจสอบพบว่าเจ้าของเลขบัตรประชาชนมีตัวตนอยู่จริง มีอาชีพทำไร่ ทำนา อยู่ต่างจังหวัด

ในขบวนการพบว่ามีการก่อเหตุหลายคน มีทั้งคนชี้เป้า มีคนค้นข้อมูลของผู้เสียหาย กลุ่มเจ้าหน้าที่ตำรวจที่รีดเอาทรัพย์ และยังพบเส้นทางการเงินว่ามีการโอนเงินต่อหลายทอด โอนไปที่บริษัทนอมินี ที่มีเจ้าของเป็นคนสัญชาติจีน มีกรรมการผู้ถือหุ้นเป็นคนไทย จากการตรวจสอบพบว่า กรรมการผู้ถือหุ้นไม่มีส่วนในการบริหารจัดการในบริษัทเลย ทำไร่ ทำนา และได้รับเงินค่าจ้างเป็นรายเดือน 10,000-20,000 บาท บริษัทนี้เชื่อว่าเป็นบริษัทที่รับฟอกเงินกับธุรกิจผิดกฎหมาย เนื่องจากบริษัทนี้จะรับเงินจากหลายที่และแปลงเป็นคริปโทเคอร์เรนซี และมีการรับเงินที่โอนมาจากแม่สอด ใกล้กับเมียวดี และปอยเปต ประเทศเพื่อนบ้านด้วย มีการโอนเงินมาหลายล้านบาท ส่วนตรงนี้ต้องขยายผลต่อเพิ่มเติม

นอกจากนี้ตัวนายลี ได้หลบหนีเข้ามายังประเทศไทย เพราะได้มีการฉ้อโกงในประเทศจีนกว่า 3,000 ล้านหยวน หรือเป็นเงินไทยกว่า 14,000 ล้านบาท ลงมือก่อเหตุในปี 2562 และหนีเข้าไทยในปี 2564 ในวีซ่านักท่องเที่ยว หลังจากนั้นก็ได้มีการสวมบัตรหัว 0 ซึ่งเป็นคนที่อยู่ตะเข็บชายแดน ทำไร่ทำนา และไม่ได้แจ้งเกิด ไม่มีสถานะทางทะเบียน รับรองการเกิดโดยผู้นำชุมชน หรือผู้ใหญ่บ้าน นายลีและภรรยาซื้อบัตรหัว 0 มาในราคา 60,000 บาท พอซื้อบัตรได้สัญชาติไทย เขาก็มีสิทธิ์เหมือนคนไทย สามารถเปิดบัญชีธนาคารได้ ได้รับการรักษาเหมือนคนไทยทุกอย่าง และย้ายไปอยู่ที่ศรีราชา มีบ้าน มีรถ ใช้ชีวิตปกติเหมือนคนไทยทั่วไป จากนั้นเขายังเปิดบริษัทร่วมกับนอมินีคนไทย ที่ตั้งอยู่ในจังหวัดสมุทรปราการ มีนายหน้ารับจดทะเบียนบริษัทให้ มีการระบุที่ตั้งของบริษัทชัดเจน แต่เมื่อไปตรวจสอบพบว่าไม่มีการดำเนินกิจการอยู่จริง ไม่มีที่ตั้งบริษัท ไม่มีพนักงาน และยังพบอีกว่าที่ตั้งบริษัทนั้นเป็นที่ตั้งอีก 14 บริษัท คนที่เป็นหุ้นส่วนก็เป็นชื่อซ้ำๆ ของคนไทย ตำรวจได้สุ่มเรียกชื่อของหุ้นส่วนบริษัทมา 5 ที่ ทุกคนยอมรับว่าไม่ได้เป็นหุ้นส่วนจริง เป็นเพียงผู้ถูกว่าจ้างให้มาเปิดบริษัทเท่านั้น และเชื่อว่าถ้าขยายผลต่อไปจะเจออีกกว่า 100 บริษัทที่เป็นลักษณะเดียวกัน


กก.3 ได้รวบรวมข้อมูลหลักฐานจนสามารถออกหมายจับ 6 หมาย จากการตรวจค้น 11 จุดใน 7 จังหวัดทั่วประเทศ พบบุคคลตามหมายจับ 2 ราย คือ นายลี และนางเอ้ ภรรยา ในข้อหา ฉ้อโกงประชาชน, ความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ส่วนเจ้าหน้าที่ตำรวจถูกดำเนินคดีในข้อหา กรรโชกทรัพย์ ซ้ำเดิม ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดนี้เคยก่อเหตุในลักษณะนี้มาแล้ว ในการอุ้มรีดคนจีนที่มีบัตรประชาชนปลอม เชื่อได้ว่ามีการทำเป็นขบวนการ จากการสอบยังพบอีกว่า ในบริษัทที่มีคนไทยเป็นนอมินี ใน 1 ปีที่ผ่านมามีเงินหมุนเวียนกว่า 400-500 ล้านบาท ส่วนนี้ต้องขยายผลต่อ และเร็วๆ นี้จะมีการออกหมายจับเพิ่มอีก 18 หมาย ขณะนี้อยู่ระหว่างสืบสวนว่าใครมีส่วนเกี่ยวข้องอีกบ้าง. -420-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

พปชร.เปิดตัวว่าที่ผู้สมัครภาคอีสาน ลั่นพร้อมสู้ศึกเลือกตั้งทุกเวลา

พปชร. เปิดตัวทัพใหญ่ ว่าที่ผู้สมัครภาคอีสาน ลั่นพร้อมสู้ศึกเลือกตั้งทุกเวลา เผยเลือดไหลเข้าพรรคพร้อมรับใช้ประชาชนอีกมาก

สาวถูกงูเห่ากัดใช้เบตาดีนทา สุดท้ายถูกหามเข้า ICU

อุทาหรณ์ สาวโพสต์โดนงูเห่ากัดตอนตี 5 ล้างแผล ทาเบตาดีนสู้พิษงู ลุกไปเข้าเวรเช้าต่อ ก่อนภาพตัด ถูกหามเข้าไอซียู

ตร.ไซเบอร์บุกค้น 9 จุด รวบรอบ 2 “มินนี่” เจ้าแม่เว็บพนัน

ตำรวจ บช.สอท. นำกำลังพร้อมหมายค้น ปูพรม 9 จุด ทั้งในกรุงเทพฯ จังหวัดเลย และจังหวัดใกล้เคียง จับกุมผู้ต้องหาเครือข่ายพนันออนไลน์ “มินนี่” กว่า 30 หมายจับ

เตือนพายุฤดูร้อนไทยตอนบน ฉ.1 มีผล 6-8 มี.ค.นี้

กรมอุตุฯ ออกประกาศเตือนพายุฤดูร้อนบริเวณประเทศไทยตอนบน ฉบับที่ 1 มีผลกระทบช่วงวันที่ 6-8 มี.ค.68 เกิดพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และลูกเห็บตกบางแห่ง

ข่าวแนะนำ

ยกหูคุยนายกฯ มาเลเซีย ร่วมแก้น้ำท่วมลุ่มแม่น้ำโก-ลก

นายกฯ ยกหูจากเยอรมนีคุย “นายกฯ มาเลเซีย” เตรียมความพร้อมร่วมมือแก้ปัญหาน้ำท่วมลุ่มแม่น้ำโก-ลก ผลักดันโครงการก่อสร้างถนนเชื่อมด่านสะเดาแห่งใหม่-ด่านบูกิตกายูฮิตัม คาดเสร็จภายใน ต.ค.นี้

นางสงกรานต์ปี 68 นาม “ทุงสะเทวี” ธัญญาหาร-ประชาชนสุขสมบูรณ์

ฝ่ายโหรพราหมณ์ กองพระราชพิธี สำนักพระราชวัง ประกาศสงกรานต์ ปี 2568 วันที่ 14 เมษายน เป็นวันมหาสงกรานต์ นางสงกรานต์ ทรงนามว่า ทุงสะเทวี

ขนเหยื่อและแก๊งคอลเซ็นเตอร์จากเมียวดีกลับจีน รอบ 2

เริ่มแล้วปฏิบัติการขนเหยื่อและแก๊งคอลเซ็นเตอร์ชาวจีนจากเมืองเมียวดี กลับจีน รอบ 2 จำนวน 4 วัน 19 เที่ยวบิน รวมกว่า 1,400 คน

ฮั้วเลือก สว.

DSI รับเรื่อง “ฮั้วเลือก สว.” เป็นคดีพิเศษ

6 มี.ค. – คณะกรรมการคดีพิเศษมีมติรับการฮั้วเลือก สว. เป็นคดีพิเศษตามมาตรา 21 (1) คือเข้าข่ายการฟอกเงิน ด้วยมติเห็นชอบ 11 เสียง นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วย พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) ร่วมประชุมพิจารณาคดีเรื่องสืบสวนที่ 151/2567 กรณีการคัดเลือกสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ที่มีกระบวนการหรือพฤติการณ์ที่ไม่ได้เป็นไปด้วยสุจริตหรือเที่ยงธรรม เป็นคดีพิเศษหรือไม่ ซึ่งเป็นการนัดประชุมครั้งที่ 2 ภายหลังส่งเรื่องให้คณะอนุกรรมการกลั่นกรองด้านอาชญากรรมระหว่างประเทศและอาชญากรรมพิเศษ เป็นพิจารณาให้ได้ข้อยุติก่อนเสนอคณะกรรมการคดีพิเศษในวันนี้ โดยในช่วงการเปิดประชุม พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการ ได้รายงานว่า วันนี้มีผู้เข้าร่วมประชุม 19 คน ลาประชุม 3 คน ประกอบด้วย คณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ 2 คน คือ พล.ต.อ.สุทิน ทรัพย์พ่วง ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการสอบสวนคดีอาญา และ พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน […]