กรุงเทพฯ 5 มี.ค.- เงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 33.73-33.75 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (09.50 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 33.84 บาทต่อดอลลาร์ฯ ด้าน SCB FM มองเงินบาทอาจอ่อนค่าต่อได้อีก หาก “ทรัมป์” ขึ้นภาษีนำเข้าตามที่ประกาศไว้ แต่เศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ชะลอตัวลงอาจทำให้บาทแข็งค่ามากกว่าคาด ประเมิน กนง.อาจลดดอกเบี้ยอีก 1-2 ครั้งในปีนี้
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย รายงานว่าเงินบาทวันนี้ยังคงเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบแข็งค่าเมื่อเทียบกับระดับปิดตลาดในประเทศวานนี้ โดยมีแรงหนุนจากแรงขายเงินดอลลาร์ฯ ท่ามกลางความกังวลต่อผลกระทบทางเศรษฐกิจที่สหรัฐฯ อาจต้องเผชิญหากสงครามการค้ากับประเทศคู่ค้ายังคงดำเนินต่อไป นอกจากนี้ ยังมีสัญญาณจาก รมว.พาณิชย์ของสหรัฐฯ ที่สะท้อนว่า สหรัฐฯ อาจมีการผ่อนปรนมาตรการภาษีบางส่วนกับเม็กซิโกและแคนาดาในเร็ว ๆ นี้ อย่างไรก็ดี เงินบาทลดช่วงแข็งค่ากลับมาบางส่วนตามการย่อตัวของราคาทองคำในตลาดโลก
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 33.60-33.85 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ สุนทรพจน์ของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ต่อสภาคองเกรสของสหรัฐฯ สถานการณ์สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับประเทศคู่ค้า ทิศทางราคาทองคำในตลาดโลก และสัญญาณฟันด์โฟลว์ในตลาดการเงินไทย
ด้านกลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB Financial Markets: SCB FM) เปิดเผยว่า เงินบาทอาจอ่อนค่าขึ้นราว 34.00-34.50 ในช่วง 1 เดือนนี้ จากมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ โดยหากทรัมป์ขึ้นภาษีตอบโต้ (Reciprocal tariffs) หรือภาษีบางกลุ่ม (เช่น เซมิคอนดักเตอร์ และยานยนต์) อาจทำให้บาทอ่อนค่าแตะ 34.50 ได้ อย่างไรก็ดี หากทรัมป์ไม่ขึ้นภาษีนำเข้าตามที่ประกาศไว้ ก็อาจทำให้บาทแข็งค่ากว่าคาด สำหรับมุมมองดอกเบี้ย มองว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะลดดอกเบี้ยต่ออีกภายในครึ่งแรกของปีนี้ เนื่องจากภาวะการเงินไทยตึงตัวต่อเนื่องและแนวโน้มมาตรการ Tariffs ที่อาจทำให้เศรษฐกิจไทยชะลอลงกว่าที่ กนง. คาด ซึ่งตลาดคาดมีโอกาสราว 80% ที่ กนง.จะลดดอกเบี้ยอีก 1 ครั้งในการประชุมเดือนมิถุนายน และมีโอกาสราว 60% ที่ กนง. จะลดดอกเบี้ยอีก 2 ครั้ง ภายในสิ้นปีนี้
นายแพททริก ปูเลีย รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานตลาดการเงินและ Head of Private Banking Relationship Management ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า เงินบาทเดือนที่ผ่านมาแม้จะยังผันผวน แต่มักเคลื่อนไหวในกรอบ 33.50-34.00 เนื่องจากมีหลายปัจจัยที่เข้ามากระทบค่าเงินบาท ซึ่งบางปัจจัยเคลื่อนไหวสวนทางกันทำให้บาทเปลี่ยนแปลงไม่มาก เช่น ในวันที่ราคาทองเปลี่ยนแปลงแรง มักเห็นเงินบาทเปลี่ยนแปลงตามด้วย โดยหากราคาทองลดลงราว $50 ภายใน 1 วัน มักเห็นเงินบาทอ่อนค่าราว 20 สตางค์
อย่างไรก็ดี ในช่วงที่ผ่านมาพบว่า เงินยูโรที่กลับมาแข็งค่าจากปัจจัยการเมืองในยุโรปที่ดีขึ้น ทำให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าและกดดันให้บาทแข็ง นอกจากนี้ ในเดือนที่ผ่านมาพบว่า เงินทุนสำรองระหว่างประเทศปรับสูงขึ้นมาก ซึ่งอาจสะท้อนได้ว่า ธปท. เข้าซื้อเงินดอลลาร์สหรัฐเพื่อชะลอการแข็งค่าของเงินบาท ดังนั้น จึงเห็นว่าเงินบาทมักไม่เคลื่อนไหวทะลุแนวต้านสำคัญเท่าไหร่นัก
แนวโน้มดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐก็กระทบบาทเช่นกัน โดยมองว่าในระยะต่อไปดัชนีเงินดอลลาร์อาจปรับลดลงได้ สอดคล้องกับ Long dollar position ที่เริ่มปรับลดลง หลังจากแตะระดับสูงสุดในรอบเกือบ 6 ปี เมื่อช่วงต้นปี โดยปัจจัยที่อาจทำให้เงินดอลลาร์ทยอยอ่อนค่าลงคือ ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่เริ่มส่งสัญญาณชะลอลง โดยเฉพาะข้อมูลฝั่ง Soft data เช่น เลข PMI และความเชื่อมั่นผู้บริโภคของสหรัฐฯ นอกจากนี้ ตลาดตื่นกลัวกับปัจจัยเรื่อง tariff risk น้อยลงมาก สะท้อนจาก market reactions ที่น้อยลงเมื่อเทียบกับการประกาศมาตรการในช่วงก่อนหน้านี้ ซึ่งส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะยังไม่เห็นการดำเนินมาตรการอย่างจริงจัง ทั้งนี้ ความไม่แน่นอนในตลาดยังสูง ซึ่งทำให้ดัชนีดอลลาร์กลับมาแข็งค่าขึ้นในบางช่วง เช่น ความตึงเครียดระหว่างยูเครนและรัสเซียที่กลับมามีประเด็น หลังยูเครนไม่สามารถตกลงร่วมกับสหรัฐฯ ได้ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้มีความต้องการถือสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างเงินดอลลาร์สหรัฐเพิ่มขึ้น
ในระยะต่อไป เงินบาทอาจอ่อนค่าต่อได้จากแนวโน้มการขึ้นภาษีนำเข้า โดยในช่วง 1 เดือนนี้ มองเงินบาทอาจอยู่ในกรอบราว 34.00-34.50 มาตรการ Tariffs อาจส่งผลต่อเงินดอลลาร์สหรัฐมาก และผลกระทบต่อค่าเงินแต่ละสกุลจะขึ้นอยู่กับขนาดของ Tariffs ต่อแต่ละประเทศที่ถูกประกาศเพิ่ม ซึ่งความรุนแรงของมาตรการภาษีตอบโต้ (Reciprocal tariffs) จะขึ้นอยู่กับส่วนต่างอัตราภาษีนำเข้าระหว่างสหรัฐฯ และประเทศนั้น ๆ โดยหากมีส่วนต่างภาษีมาก ก็อาจทำให้สหรัฐฯ ขึ้นภาษีตอบโต้มากขึ้น กดดันให้สกุลเงินนั้นอ่อนค่าแรง ซึ่งคาดว่าอินเดีย และกลุ่มประเทศ LATAM เช่น บราซิล อาจได้รับผลกระทบสูง ทำให้สกุลเงินอาจอ่อนค่าแรงได้ ในส่วนของเงินบาท หากทรัมป์ขึ้น Reciprocal tariffs หรือขึ้นภาษีบางกลุ่ม (เช่น เซมิคอนดักเตอร์ และยานยนต์) อาจทำให้เงินบาทอ่อนค่าแตะ 34.50 ได้ แต่หากทรัมป์ขึ้นภาษีนำเข้าจากทุกประเทศดังที่เคยขู่ไว้ในช่วงเลือกตั้ง อาจทำให้เงินบาทอ่อนค่าเหนือ 35.00 ได้
นายวชิรวัฒน์ บานชื่น นักกลยุทธ์ตลาดการเงินอาวุโส ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า กนง.อาจลดดอกเบี้ยต่อได้อีกภายในครึ่งแรกของปีนี้ เนื่องจากภาวะการเงินของไทยตึงตัวต่อเนื่องและแนวโน้มมาตรการ Tariffs ที่อาจทำให้เศรษฐกิจไทยชะลอกว่าที่ กนง. คาดได้ ซึ่งมุมมองการลดดอกเบี้ยนี้สอดคล้องกับมุมมองตลาด โดยตลาดให้โอกาสราว 80% ที่ กนง. จะลดดอกเบี้ยอีกในการประชุมเดือนมิถุนายน และให้โอกาสราว 60% ที่ กนง. จะลดดอกเบี้ยอีก 2 ครั้ง (ไปที่ 1.50%) ภายในสิ้นปีนี้
ด้านอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล นายวชิรวัฒน์มองว่าอาจลดลงต่อได้เล็กน้อยตามการลดดอกเบี้ยของ กนง. และแนวโน้มอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่คาดว่าจะปรับลดลงต่อได้ เนื่องจากคาดว่า Fed อาจทำ Quantitative tightening (QT) น้อยลง ทำให้ Term premium อาจปรับลดลงได้ โดยเพดานหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ (Debt ceiling) ที่ใกล้เข้ามาทำให้การลด QT อาจช่วยลดความผันผวนของสภาพคล่องในตลาดเงินได้ เพราะจะช่วยรักษาระดับของ Bank reserves ให้ไม่ผันผวนมาก. -511- สำนักข่าวไทย