กรุงเทพฯ 6 ก.พ. – กรมการค้าภายในรับลูก “พิชัย” ระดมความเห็นหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ผู้ผลิต ผู้นำเข้า ห้างฯ กำหนดแนวทางกำกับดูแลเครื่องปรับอากาศและเครื่องดูดฝุ่น เตรียมเสนอ กกร. พิจารณาขึ้นบัญชีเป็นสินค้าควบคุม เฉพาะที่ใช้ในครัวเรือน ก่อนเสนอ ครม. ไฟเขียว คาดจบภายในเดือน ก.พ.นี้
นายวิทยากร มณีเนตร อธิบดีกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรมได้เชิญประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ผู้ผลิต ผู้นำเข้า และตัวแทนจำหน่าย (ห้าง) เพื่อร่วมกันกำหนดแนวทางในการกำกับดูแลสินค้าเครื่องฟอกอากาศและเครื่องดูดฝุ่น เป็นสินค้าควบคุม ตามนโยบายจากนายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่ได้สั่งการให้ดูแลสินค้าที่จำเป็นต้องใช้ในช่วงสถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 เพื่อให้ง่ายต่อการกำกับดูแล และป้องกันประชาชนโดนเอาเปรียบ โดยผู้ประกอบการพร้อมที่จะร่วมมือ เพราะเห็นถึงความจำเป็นในการดูแลสุขภาพของประชาชน
ทั้งนี้ กรมฯ ยังได้ติดตามสถานการณ์การผลิต การนำเข้า และการจำหน่าย พบว่าสินค้ามีปริมาณเพียงพอต่อความต้องการใช้ในประเทศ ผู้บริโภคสามารถหาซื้อสินค้าเพื่อใช้ในการป้องกันฝุ่น PM 2.5 ได้ ไม่มีปัญหาการขาดแคลนแต่อย่างใด และสินค้ามีให้เลือกหลากหลายยี่ห้อ
สำหรับการนำสินค้าเครื่องฟอกอากาศและเครื่องดูดฝุ่นเป็นสินค้าควบคุม มีวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ดูแลสินค้าทั้งสองชนิด “ไม่ให้ขาด ไม่ให้แพง” และจะคุมเฉพาะสินค้าที่ใช้ครัวเรือนเท่านั้น เพื่อไม่ให้เป็นภาระกับผู้ประกอบการมากจนเกินไป โดยขณะนี้อยู่ระหว่างเปิดรับฟังความคิดเห็นเพื่อจัดทำร่างประกาศคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) กำหนดสินค้าควบคุมเพิ่มเติม และมาตรการในการกำกับดูแลสินค้าเครื่องฟอกอากาศและสินค้าเครื่องดูดฝุ่นต่อผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง เพื่อรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน ก่อนเสนอเข้าคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) พิจารณา และเมื่อ กกร. พิจารณาแล้ว ก็จะเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาต่อไป คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2568
อย่างไรก็ตาม ในระหว่างนี้ หากตรวจสอบพบการฉวยโอกาสจำหน่ายสินค้าแพงเกินสมควร กักตุนสินค้าและปฏิเสธการจำหน่าย จะมีโทษจำคุก 7 ปี หรือปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และในส่วนของประชาชน หากไม่ได้รับความเป็นธรรมในการซื้อสินค้าและบริการสามารถร้องเรียนได้ที่สายด่วนกรมการค้าภายใน 1569 หรือที่สำนักงานพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ จะจัดส่งเจ้าหน้าที่ออกไปตรวจสอบ และหากพบการกระทำความผิด จะดำเนินการตามกฎหมายเด็ดขาด.-516-สำนักข่าวไทย