รัฐสภา 30 ม.ค.-หมอทศพร ควงอธิบดีกรมอนามัย โชว์นวัตกรรมใหม่ “มุ้งสู้ฝุ่น” กระทรวงสาธารณสุขใช้งบ ไม่เกิน 3,000 สำหรับผู้ป่วยติดเตียง-เด็กเล็ก
นพ.ทศพร เสรีรักษ์ ประธานคณะกรรมาธิการสาธารณสุข สภาผู้แทนราษฎร พร้อมด้วย แพทย์หญิงอัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมอนามัย แถลงข่าวแนวทางแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5ว่า กระทรวงสาธารณสุข ีความห่วงใยต่อประชาชน ซึ่งพบว่า มีผู้สูงอายุ และเด็กจำนวนมาก ที่ได้รับผลกระทบเข้ารับการรักษาเกี่ยวกับการสัมผัสฝุ่น PM 2.5 กระทรวงสาธารณสุขจึงได้จัดทำ มุ้งสู้ฝุ่นเพื่อจะช่วยลดฝุ่น ให้ประชาชนอยู่ในสภาพแวดล้อมที่อากาศสะอาด โดยมีการพัฒนาต้นแบบจาก อาจารย์ คณะวิศวกรรม จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยเป็นการประยุกต์ใช้หลักการทำห้องปลอดฝุ่น กันฝุ่น กรองฝุ่น สำหรับบ้านเรือนที่ไม่สามารถปิดหน้าต่างได้สนิท ที่มีกลุ่มบอบบาง ผู้ป่วยติดเตียง มีงบประมาณจำกัด โดยอุปกรณ์ที่จัดทำ ใช้งบประมาณไม่เกิน 3,000 บาท ประชาชนสามารถทำเองได้ คือใช้มุ้งผ้าฝ้าย ไส้กรองอากาศและพัดลมโดยจะเป็นการสร้างความดันบวกภายในมุ้ง ด้วยการใส่เครื่องกรองอากาศติดกับพัดลมเป่าเข้าไปข้างในมุ้ง สร้างความดันบวกที่สูงกว่าข้างนอก จะผลักดันไม่ให้PM 2.5 เข้าไปในมุ้ง ซึ่งจากการศึกษา ที่ใช้ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ พบว่ามีประสิทธิภาพ ในการลดฝุ่น 36.3 - 75 เปอร์เซ็น
นพ.ทศพร ยังขอให้ประชาชนมั่นใจในคุณภาพ ซึ่งหากมีการประดิษฐ์โดยกลไกการผลิตที่ถูกวิธี มีปรากฏในเว็บไซต์ของกรมอนามัยและเว็บไซต์ของกระทรวงสาธารณสุข
แพทย์หญิงอัมพรกล่าวว่า เรื่องนี้นายสมศักดิ์ เทพสุทินรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขมีความเป็นห่วง กลุ่มเปราะบาง และผู้ป่วยติดเตียงที่มีสิ่งแวดล้อมเปื้อนฝุ่น ไม่สามารถหนีไปที่ไหนได้ ดังนั้นทางเลือกที่สำคัญคือจะลดอัตราการเจ็บป่วยจากภาวะหัวใจล้มเหลวได้เพราะแต่ละครั้งการนอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลจะเสียค่าใช้จ่ายประมาณ 50,000 บาทต่อครั้ง และมุ้งกันฝุ่นมีการพิสูจน์แล้วว่าช่วยลดอัตราการนอนโรงพยาบาลของผู้ป่วยที่เป็นโรคถุงลมโป่งพอง หอบหืด หรือโรคทางเดินหายใจ จึงเป็นนโยบายของรัฐมนตรีที่มุ่งสู่ผลให้ครอบคลุมกลุ่มเปราะบางโดยเฉพาะในพื้นที่เปื้อนฝุ่นให้มากที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้
แพทย์หญิงอัมพร กล่าวอีกว่าจากเดิม มีผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 ใน 33 จังหวัดที่และมีกลุ่มเปราะบางประมาณ 40,000 คน แต่ ขณะนี้สถานการณ์ฝุ่น เพิ่มถึง 65 จังหวัดจึงต้องเร่งให้จัดหามุ้งกันฝุ่นเพื่อดูแลประชาชนโดยการขับเคลื่อนของภาครัฐ
ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวได้ทดลองสาธิตเข้าไปภายในมุ้ง และตรวจวัดปริมาณฝุ่น PM 2.5 ซึ่งพบความแตกต่างอยู่นอกมุ้ง มีค่าฝุ่น 20 ไมโครกรัม แต่เมื่อเข้าไปอยู่ในมุ้งสู้ฝุ่น ทำให้ค่าฝุ่นลดลง เหลือ 12 ไมโครกรัม.-319.-สำนักข่าวไทย