บช.ก. 11 ธ.ค. – “อี้ แทนคุณ” พาผู้เสียหาย ร้องตำรวจสอบสวนกลางเอาผิดสองนายทุน หลอกลงทุนอสังหาฯ เสียหาย 500 ล้านบาท
นายแทนคุณ จิตต์อิสระ ประธานชมรมสันติประชาธรรม หรือ “อี้ แทนคุณ” ได้พาผู้เสียหายเดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.)
นายแทนคุณ กล่าวว่า มีผู้เสียหายเดินทางมาพบกับตัวเอง 2 เรื่อง เรื่องแรก คือ หลอกลงทุนในคอนโดอ้างว่าจะเคลียร์เรื่องหนี้ให้ ซึ่งเป็นคอนโดที่มีอยู่จริง แต่การเคลียร์หนี้ไม่มีอยู่จริง เป็นกรณีเดียวกันกับผู้เสียหายที่เข้าร้องกับนางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี มีผู้เสียหายบางส่วนก็ได้มาร้องเรียนผ่านตัวเอง จึงนำผู้เสียหายเข้าแจ้งความที่ตำรวจสอบสวนกลาง ซึ่งคาดว่าน่าจะมีผู้เสียหายประมาณ 300 คน ความเสียหายเบื้องต้น 2,000 ล้านบาท
ลักษณะการหลอกลงทุน คือการที่เข้าถึงข้อมูลเครดิตบูโร หรือเครดิตหนี้ของผู้เสียหาย อ้างว่าจะสามารถเคลียร์หนี้ให้แลกกับเอาเครดิตของผู้เสียหายไปกู้คอนโด ซึ่งผู้เสียหายก็หลงเชื่อ เพราะเป็นบริษัทเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ และเอาเครดิตต่างๆ ไปกู้คนละ 1-2 ห้อง จนมารู้ตัวอีกทีก็เป็นหนี้จำนวนมาก จากที่เป็นหนี้เพียงแค่ 1 ล้านบาท ก็กลายเป็นหนี้ 20 ล้านบาท
นายแทนคุณ กล่าวว่า เรื่องที่ 2 มีผู้เสียหายเดินทางมาจากจังหวัดมหาสารคาม มีนายทุน 2 คน คือ นาย จ. หรือ J และนาย ห. หลอกลงทุนในเรื่องของที่ดิน และบ้าน โดยมีพฤติกรรมหลอกผู้เสียหายว่าให้มาลงทุนอสังหาริมทรัพย์โดยให้ดอกเบี้ย 1.5 และ 2% แต่ผู้เสียหายไม่เคยได้ และให้ผู้เสียหายไปเชิญชวนคนอื่นมาร่วมลงทุนโดยจะให้ดอกเบี้ยร้อยละ 0.5 ซึ่งทั้งสองคนจะเป็นผู้ดำเนินการหลัก และมีผู้ร่วมขบวนการ ตอนนี้มีผู้เสียหายประมาณ 10 กว่าคน มูลค่าความเสียหายอยู่ที่ 300 ล้านบาท และคาดว่าหลังจากนี้น่าจะมีเพิ่มอีก ซึ่งผู้เสียหายเคยเดินทางไปร้องทุกข์ในที่ต่าง ๆ มาแล้วหลายที่ เช่น กรมสอบสวนคดีพิเศษแต่ก็ไม่มีความคืบหน้าทางคดี จึงอยากจะร้องขอความเห็นใจจาก บก.ปอศ. เพราะการกระทำของผู้ก่อเหตุไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย
ด้าน น.ส.เอ (นามสมมติ) ผู้เสียหาย เปิดเผยว่า เมื่อปลายปี 2562 เพื่อนของตัวเองได้มาชวนว่ามีนาย J กำลังลงทุนสร้างแลนด์มาร์กในจังหวัดมหาสารคามอยู่ และถ้าหากเราไปกู้โดยนำเงินไปให้เขา ๆ ก็จะเอาเงินไปสร้างแลนด์มาร์ก และเขาจะเป็นคนผ่อนหนี้ให้เราทั้งหมดซึ่งจะได้เป็นปันผล 1.5-2% ด้วยความที่เป็นเพื่อนจึงทำให้เธอหลงเชื่อ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเพื่อนคนที่มาชวนให้เธอไปร่วมลงทุนนั้นทราบหรือไม่ว่านาย จ. มีพฤติกรรมหลอกลวง แต่ตอนนี้เพื่อนคนดังกล่าวจะมีส่วนร่วมในขบวนการนี้ เป็นเหมือนมือขวาของนาย จ. และเป็นคนที่หาคนมาร่วมลงทุน ซึ่งอย่างไรก็จะรอผลการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจว่ามีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่
ทั้งนี้ เดิมมีหนี้สินส่วนตัวอยู่ที่ 2 ล้านบาท ทางฝั่งนายทุนอ้างว่าถ้าจะไปลงทุนจะต้องไม่มีภาระ เพราะจะกู้ไม่ผ่าน ทางฝั่งนาย จ. บอกว่าให้ฝั่งผู้เสียหายมากู้กับนาย จ. เขาก็ได้นำเงินสดมาให้โดยคิดดอกเบี้ย 7.5% ซึ่งหลังจากที่ไปกู้ก็ถูกนำเครดิตไปใช้จนทำให้เกิดหนี้เป็นจำนวนมหาศาล ซึ่งหลายคนก็โดนเช่นนี้จนตอนนี้หนี้สินของเธอมีทั้งหมด 38 ล้านบาท และไม่สามารถติดต่อ นาย จ. และพวกได้อีกเลยตั้งแต่เกิดเหตุ
น.ส.เอ ยังบอกอีกว่า นาย จ. เป็นคนที่ค่อนข้างมีอิทธิพลในจังหวัดมหาสารคาม ไปไหนก็มีแต่คนนับหน้าถือตา ที่ผ่านมายังไม่เคยถูกข่มขู่และตอนนี้ได้มีการไปแจ้งความไว้ในท้องที่เกิดเหตุเป็นที่เรียบร้อยแล้วขณะนี้อยู่ระหว่างการสืบสวนสอบสวน พร้อมฝากไปถึงนาย จ. ว่าอยากให้ออกมารับผิดชอบ เพราะว่าตอนนี้ทุกคนได้รับความเดือดร้อน อุตส่าห์เชื่อใจ เพราะว่าตอนแรกเห็นว่าเป็นเพื่อนกัน ซึ่งตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรกับหนี้ 38 ล้านบาท ยังคงขอความช่วยเหลือจากหลายหน่วยงาน
ขณะที่นายบี ผู้เสียหาย เปิดเผยว่า ตอนนี้ผู้ที่เสียหายสูงสุดอยู่ที่ประมาณ 50 ล้านบาท และของตัวเองเริ่มแรกคนที่ชักชวนคือ นาย จ. และนาย ห. ซึ่งเคยทำงานในบริษัทเดียวกัน ซึ่งดูจากพฤติกรรมแล้ว น่าจะเริ่มจากในหมู่เพื่อนก่อน เขาก็บอกว่าถ้าหากเราไปชวนคนมาได้อีกก็จะได้เปอร์เซ็นต์ ซึ่งตัวเองไม่เคยไปชวนใคร เพราะไม่ได้สนใจที่จะทำอะไรแบบนั้นก็หวังแค่ว่าผลประโยชน์ที่เราจะได้ ตอนนี้หนี้รวมกับแฟนก็อยู่ที่ประมาณ 38 ล้านบาท และคิดว่าทั้งคู่น่าจะยังอยู่ที่จังหวัดมหาสารคาม แต่ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน เพราะติดต่อไม่ได้ตั้งแต่เดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ช่วงหลังคุยกับเจ้าหน้าที่ก็พบว่ามีผู้เสียหายนอกกลุ่มอีกแต่ไม่ทราบว่ามีกี่คน แต่เท่าที่ทราบมูลค่าความเสียหายรวมรวมน่าจะอยู่ที่ประมาณ 500 ล้านบาท โดยนายบี ยอมรับว่าเป็นกังวลเพราะเกรงว่านาย จ. น่าจะเป็นผู้มีอิทธิพลและมีคนรู้จักเยอะ เลยกลัวว่าจะไม่ได้ความเป็นธรรม. -419-สำนักข่าวไทย