กรุงเทพฯ 10 ต.ค. – ทีมทนายมูลนิธิรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม พาผู้เสียหายเข้าให้ข้อมูลกับตำรวจ หลังถูกขายฝันให้ร่วมลงทุนธุรกิจขายตรง ด้าน “ทนายเดชา” พาผู้เสียหายอีกกลุ่มแจ้งความ พร้อมพุ่งเป้าไปที่แชร์ลูกโซ่
มูลนิธิรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรม พาผู้ได้รับผลกระทบจากการเข้าร่วมธุรกิจบริษัทขายตรงชื่อดัง ซึ่งผู้เสียหายที่มาวันนี้มี 20 คน แต่คนที่อยู่ในกลุ่มตอนนี้มีประมาณ 500 คน บางส่วนไม่สะดวกเดินทางมาเพราะอยู่ต่างจังหวัด รวมถึงติดธุระส่วนตัว
หนึ่งในผู้เสียหาย เล่าว่า ผู้เสียหายทุกคนจะเห็นธุรกิจของบริษัทนี้ในลักษณะเดียวกัน คือเริ่มเห็นจากโฆษณาทางทีวี โซเชียล และการยิงแอดผ่านเฟซบุ๊ก ขณะที่ส่วนตัวในช่วงหลังโควิดต้องการหาอาชีพเสริม หารายได้มาเลี้ยงครอบครัว จึงตัดสินใจลงเรียน ซึ่งจะเป็นการเรียนแบบออนไลน์ มีค่าใช้จ่าย 98 บาท หรือ 99 บาท
2 วันแรกเป็นการเรียนการสอนเรื่องธุรกิจบริษัท วันที่ 3 มีแม่ทีมมาสอน หากใครสนใจทำธุรกิจก็จะขายฝันว่าเป็นการสร้างรายได้เพิ่ม โดยที่ไม่ต้องสตอกของ ไม่ต้องมีสินค้าในมือ มีระบบช่วยเหลือหลังบ้านทั้งหมด
จากนั้นจะเสนอให้เรียนคอร์สที่สูงขึ้นในราคา 2,500 บาท ซึ่งคอร์สนี้สามารถเรียนรู้ระบบของบริษัทได้มากกว่าเดิม มีโค้ชนัดมาเรียนที่โรงเรียน มีครูพี่เลี้ยง แม่ทีมมาช่วยประกบ และหากสนใจลงทุนจะมีคอร์สเรียนที่สูงขึ้นในราคา 25,000 บาท ในคอร์สนี้จะถูกเกลี้ยกล่อมว่าหากมาทำธุรกิจจะมีรายได้เพิ่ม ชีวิตจะเปลี่ยนไป ใครสนใจมีค่าใช้จ่ายในการลงทุน 250,000 บาท
ทั้งนี้ ส่วนตัวยอมรับตอนแรกไม่มั่นใจที่จะจ่าย 250,000 บาท แต่ผ่านไปสักพักมีโอกาสร่วมงานประจำเดือนของบริษัท ทั้งอบรมและประชุม มีดารา นักแสดงชื่อดังมาพูด สร้างความเชื่อมั่น ทำให้รู้สึกว่าบริษัทมีระบบรองรับทุกอย่าง ระบบหลังบ้านก็ดี การตลาดก็ดี สินค้าก็ดี แต่ดารา นักแสดงชื่อดัง จะพบเจอได้ในเฉพาะงานอีเวนต์ ซึ่งจะมีค่าบัตรเข้าร่วมงาน 1,500 บาท และเท่าที่เห็นจะมี 3 คน ซึ่งไม่ใช่เป็นแค่พรีเซ็นเตอร์ แต่เป็นถึงระดับผู้บริหารที่คนจะเรียกกันว่า “บอส”
อย่างไรก็ตาม สุดท้ายมาเอะใจเพราะหลังจากเรียนไปเรื่อยๆ รู้สึกว่าไม่ได้สอนให้ขายของ แต่สอนให้หาคนมากระจายสินค้า ด้วยการยิงแอดโฆษณา หาดีลเลอร์มาลงทุนแบบตัวเอง ตอนนั้นแม้ไม่มีเงินในการยิงแอดโฆษณา แม่ทีมมีการแนะนำให้เอารถไปรีไฟแนนซ์ นำเงินมายิงแอด เพื่อลูกค้า หานักเรียนเข้ามาเรียน และยังแนะนำให้โทรชวนเพื่อน จนตอนนี้ต้องเป็นหนี้บัตรเครดิต เงินที่ใช้ไปลงทุนก็ไม่เคยเห็นผล
ส่วนอีกรายยอมรับนำเงินเก็บ 206,000 บาท ไปลงทุนจนเกือบคิดสั้นฆ่าตัวตาย เพราะตกงาน อยากสร้างธุรกิจ รวมถึงได้ยินสโลแกน “ขยันผิดที่อีก 10 ปี ก็ไม่รวย” รู้สึกว่าเป็นโอกาสในการหาเงินมาใช้จ่ายในครอบครัว เพราะเริ่มจากลงทุนแค่ 2,500 บาท แต่พอจ่ายไปแล้วกลับกลายเป็นเหมือนสโลแกนขายฝัน สุดท้ายลงทุนไป 206,000 บาท ทุกวันนี้ยังต้องใช้หนี้อยู่ แถมครอบครัวแตกแยก เพราะไม่มีใครเข้าใจ จนซึมเศร้า
ขณะเดียวกันรองประธานมูลนิธิรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรม ได้โชว์เอกสารข้อตกลงที่บริษัททำไว้กับผู้เสียหาย โดยอ้างเป็นค่าบำรุงขวัญ จ่ายให้ผู้เสียหายบางส่วนไปเซ็นเอกสารปิดปาก พร้อมย้ำว่าคดีนี้เป็นอาญาแผ่นดิน ยอมความไม่ได้ ฝากประชาสัมพันธ์ให้ผู้เสียหายเข้าให้ข้อมูลกับพนักงานสอบสวน
ด้านทนายเดชา กิตติวิทยานันท์, ต้นอ้อ มูลนิธิเป็นหนึ่ง, นายแทนคุณ จิตต์อิสระ พาผู้เสียหายที่จากการลงทุนกับบริษัทดังกล่าวรวมกว่า 10 ราย มาแจ้งความร้องทุกข์กับ ปคบ. เช่นกัน โดยนายแทนคุณ ระบุถึงพฤติการณ์ของบริษัทว่าให้ข้อมูลไม่ครบถ้วนโฆษณาเกินจริงเกี่ยวกับการขายสินค้าออนไลน์ ทำให้มีผู้หลงเชื่อลงทุน เพราะเปิดคอร์สในราคา 97 บาท ก่อนขยับเป็นขั้นบันไดไปจนถึง 250,000 บาท อ้างให้เป็นดีลเลอร์ สร้างทีม รับผลประโยชน์เพิ่ม ก่อนโน้มน้าวให้ยิงแอดโฆษณาหารายได้เฉลี่ย 1 คน เสียหายไปกว่า 500,000 บาท ซึ่งข้อมูลล่าสุดมีผู้เสียหายมากกว่า 500 คน
ด้าน ต้นอ้อ มูลนิธิเป็นหนึ่ง ระบุว่า มีผู้เสียหายรายหนึ่งมาเล่าหัฟังว่าไปลงทุนกับบริษัทเพราะตกงาน รูดบัตรเครดิตไปกว่า 400,000 บาท แต่สินค้าที่ได้รับมากลับขายไม่ได้ จนเกิดความเครียด ประกอบกับตอนนั้นป่วยและท้องอยู่ ทำให้คิดสั้นกระโดดน้ำหวังฆ่าตัวตาย แต่มีพลเมืองดีช่วยไว้ได้ทัน
นอกจากนี้ผู้เสียหายบางส่วนยังให้ข้อมูลว่าดาราที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับบริษัทนี้มี 3 กลุ่ม กลุ่มแรกคือผู้ได้รับมอบอำนาจในการบริหารโดยตรง มีอยู่ 5-6 คน กลุ่มที่ 2 เป็นกลุ่มพรีเซ็นเตอร์ที่บริษัทจ้างมาสร้างความน่าเชื่อถือ มีหลายคน และกลุ่มสุดท้าย กลุ่มที่มีความสัมพันธ์และถูกเชิญเข้าไปร่วมอีเวนต์ของบริษัท ผู้เสียหายยืนยันว่าดารากลุ่มแรกเข้ามาบริหารจริง
ขณะที่ผู้เสียหายรายนี้เล่าว่า เรื่องเกิดขึ้นเมื่อ 2 ปีก่อน ตอนนั้นตัดสินใจลงทุนเพราะอยากประสบความสำเร็จ เพราะบริษัทชักชวนและกล่าวอ้างถึงผู้ที่ประสบความสำเร็จ โดยมีวลีหลักเด็ดของบอสใหญ่ที่บอกว่า “ขยันผิดที่ 10 ปีก็ไม่รวย” เป็นตัวจุดประกาย เมื่อเข้าร่วมได้ชักชวนคนสนิทและคนในครอบครัวมาร่วมลงทุน แต่สินค้ากลับขายไม่ออก เพราะสินค้าไม่ได้คุณภาพ คนไม่กลับมาซื้อซ้ำ ทำให้เสียหายหลักล้าน เมื่อถามหาวิธีขายของกลับไปยังบริษัทกลับไม่ได้คำตอบ ทำให้ต้องเสียความสัมพันธ์กับคนสนิทและครอบครัว พร้อมย้ำว่าธุรกิจนี้ไม่ได้เน้นขายของ แต่เน้นหาคนให้ร่วมลงทุน
ทนายเดชา ย้ำอีกครั้งกรณีมีดาราแถลงข่าวยืนยันว่าไม่มีส่วนในการตัดสินใจของบริษัท โดยได้คุยกับพนักงานสอบสวนแล้ว พนักงานสอบสวนบอกว่าการดำเนินคดีไม่ได้ดูแค่เพียงคำพูด แต่ต้องดูพฤติกรรมและหลักฐาน ซึ่งหากดูจากพฤติการณ์มีโอกาสสูงที่ดาราหลายคนถูกดำเนินคดี แต่ขอไม่ระบุว่าเป็นใคร
คดีนี้ทนาย 2 คน พาผู้เสียหายมาแจ้งความ เพื่อให้ตรวจสอบบริษัทว่าเข้าข่ายฉ้อโกงประชาชน, แชร์ลูกโซ่, โฆษณาเกินความเป็นจริงหรือไม่ รวมถึงความผิดตาม พ.ร.บ.ขายตรง หรือไม่
ส่วนความผิดอื่นๆ ที่น่าจะตามมาอาจเป็นเรื่อง พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ โดยฝากประชาสัมพันธ์ให้ผู้เสียหายเข้ามาแจ้งความกับพนักงานสอบสวน ซึ่งไม่ต้องมาที่ ปคบ. ก็ได้ ให้แจ้งความที่ท้องที่ที่พักอาศัย เนื่องจากรักษาการ ผบ.ตร. ย้ำแล้วว่าจะทำให้ครอบคลุม หรือหากติดขัดอย่างไร ทนายเดชาบอกว่าติดต่อมาได้ทันที.-สำนักข่าวไทย