กรุงเทพฯ 7 ส.ค.- SET Index เดือน ก.ค.67 ปรับเพิ่มขึ้น 1.5% ชี้มาตรการยกระดับ คุม Short Sell ลดลง นักลงทุนในประเทศกลับมาลงทุนมากขึ้น ส่วนทางนักลงทุนต่างชาติยังขายสุทธิแต่ในปริมาณเริ่มลดลง เชื่อเศรษฐกิจไทยยังมี Upside มากกว่า Downside จับตาคดีชี้ชะตานายกฯ 14 ส.ค.นี้
นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ยอมรับว่าช่วงนี้ตลาดหุ้นมีความผันผวนสูงมาก ไม่อยากให้นักลงทุนกังวลเรื่อง risk-on หรือ risk-off แต่อยากให้ดูข้อมูล ทั้งนี้ มองว่าในระยะยาวเศรษฐกิจไทยมี Upside มากกว่า Downside จากปัจจัยท่องเที่ยวที่เริ่มฟื้นตัว งบประมาณการใช้จ่ายภาครัฐที่ออกมา จึงอยากขอให้ติดตามและวิเคราะห์ข้อมูลให้ดี
ส่วนกรณีสัปดาห์หน้ามีคดีสำคัญของนายกรัฐมนตรีที่ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยในวันที่ 14 ส.ค.นี้ จะกระทบภาพรวมการลงทุนหรือไม่ มองว่าขณะนี้รัฐบาลยังใช้งบลงทุนน้อยมาก ส่วนใหญ่งบใช้จ่ายยังเป็นงบที่เกี่ยวกับการจ่ายเงินเดือน 60-70% ถึงแม้จะมีเหตุการณ์ต่างๆ ก็จะไม่ทำให้เกิดการใช้งบลงทุนนน้อยกว่านี้ เชื่อว่า downside ยังน้อยกว่า Upside ขณะที่การจัดงานไทยแลนด์โฟกัสในวันที่ 28 สิงหาคมนี้ จะมีการติดตามสถานการณ์และให้ข้อมูล เพื่อฟื้นความเชื่อมั่นนักลงทุนอีกด้วย
นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลท.เปิดเผยว่า ผลการประชุม FED มีมติคงดอกเบี้ยนโยบายติดต่อกันเป็นครั้งที่ 8 อยู่ที่ระดับ 5.25% – 5.50% ตามที่ตลาดคาดการณ์ โดยถ้อยแถลงของ Jerome Powell มีแนวโน้มที่จะลดดอกเบี้ยในการประชุมในเดือนกันยายนนี้ หลังจากนั้นตลาดหุ้นต่างๆ ทั่วโลกนำโดยสหรัฐฯ และญี่ปุ่นโดนแรงเทขายจากผู้ลงทุนหลังจากความกังวลว่าเศรษฐกิจอาจกำลังเข้าสู่ภาวะถดถอย จากความไม่แน่นอนจากปัจจัยต่างๆ ในช่วงนี้ทำให้ผู้ลงทุนอาจหาหุ้นในตลาดที่มี Valuation เหมาะสมและได้รับผลกระทบจากความผันผวนค่อนข้างจำกัด เริ่มเห็นสัญญาณเงินทุนไหลเข้าตลาดหุ้นในภูมิภาค
แม้ผู้ลงทุนต่างประเทศยังขายสุทธิในตลาดหุ้นไทยแต่ในปริมาณเริ่มลดลง โดยเงินบาทปรับตัวแข็งค่าขึ้นตลอดทั้งเดือนท่ามกลางแรงหนุนหลัก จากการแข็งค่าของสกุลเงินเอเชียในภาพรวมนำโดยเงินเยน การปรับตัวขึ้นของราคาทองคำในตลาดโลกที่มีแรงหนุนเพิ่มเติมจากความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ และสถานะซื้อสุทธิพันธบัตรไทยของผู้ลงทุนต่างประเทศ นอกจากนี้ เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวจากการส่งออกและท่องเที่ยว การใช้จ่ายภาครัฐที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ออกมาตรการควบคุมการทำ Short Sell ส่งผลให้การทำ Short Sell ลดลง เม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติลดลง ทำให้สัดส่วนการซื้อขายโดยผู้ลงทุนในประเทศสูงขึ้น นอกจากนี้ รัฐบาลได้อนุมัติมาตรการภาษีใหม่สำหรับกองทุน Thai ESG เพิ่มการลดหย่อนภาษีและลดระยะเวลาการถือครอง
ทั้งนี้ ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2567 SET Index ปิดที่ 1,320.86 จุด ปรับเพิ่มขึ้น 1.5% จากเดือนก่อนหน้า แต่ปรับลดลง 6.7% เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2566 โดยผู้ลงทุนยังรอความชัดเจนเกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐและประเมินผลกระทบจากมาตรการเรียกความเชื่อมั่นในตลาดทุนที่เพิ่งประกาศใช้ในเดือนกรกฎาคม 2567 โดยในเดือนกรกฎาคม 2567 กลุ่มอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีกว่า SET Index เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2566 ได้แก่ กลุ่มเทคโนโลยี กลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค และกลุ่มบริการ
7 เดือนแรกของปี 2567 มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน อยู่ที่ 44,162 ล้านบาท ลดลง 22.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยผู้ลงทุนต่างชาติขายสุทธิรวม 117,559 ล้านบาท นอกจากนี้ผู้ลงทุนต่างประเทศมีสัดส่วนมูลค่าการซื้อขายสูงสุดต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 27
ในเดือนกรกฎาคม 2567 มีบริษัทเข้าจดทะเบียนใหม่ซื้อขายใน SET 2 หลักทรัพย์ ได้แก่ บมจ. ฟู้ดโมเม้นท์ (FM) และ บมจ. เจ้าสัว ฟู้ดส์ อินดัสทรี (CHAO) และใน mai 1 หลักทรัพย์ ได้แก่ บมจ. ไนซ์ คอล (NCP)
Forward P/E ของตลาดหลักทรัพย์ไทย ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2567 อยู่ที่ระดับ 14.3 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 12.5 เท่า และ Historical P/E อยู่ที่ระดับ 16.0 เท่าสูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 15.1 เท่า
- อัตราเงินปันผลตอบแทน ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2567อยู่ที่ระดับ 3.53% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ 3.17%
ในเดือนกรกฎาคม 2567 ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 379,777 สัญญา ลดลง 30.3% จากเดือนก่อน ที่สำคัญจากการลดลงของ SET50 Index Futures และ Single Stock Futures และในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2567 มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 436,537 สัญญา ลดลง 20.1% จากช่วงเดียวกัน ของปีก่อน ที่สำคัญจากการลดลงของ Single Stock Futures และ SET50 Index Futures.-516-สำนักข่าวไทย