กรุงเทพฯ 31 ก.ค. – “เผ่าภูมิ” เดินหน้า “หวยเกษียณ” มั่นใจเริ่มขายงวดแรกต้นปีหน้า เตรียมพิจารณาให้กลุ่มที่อายุเกิน 60 ปี สามารถซื้อได้
นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวภายหลังเป็นประธานเปิดงาน “9 ปี กอช.ก้าวสู่อนาคตที่มั่นคง” และร่วมเสวนา “สลากเกษียณ วิชั่นใหม่ การออม รับสังคมสูงวัย” ว่า ปัจจุบันประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ มีการจ่ายสวัสดิการดูแลผู้สูงอายุเป็นแบบขั้นบันใด ตามช่วงอายุ ซึ่ง กอช.ในฐานะหน่วยงานภายใต้การกำกับของกระทรวงการคลัง ได้ตระหนักถึงความสำคัญของการวางแผนทางการเงิน เพื่อให้ประชาชนที่อยู่นอกระบบแรงงาน หรือผู้ประกอบการอิสระ ที่มีอายุ 15-60 ปี สามารถเริ่มออมเงินได้ตั้งแต่ 50 บาท แต่ไม่เกิน 3,000 บาทต่อปี และรัฐสมทับสูงสุด 100% แต่ไม่เกิน 1,800 บาทต่อปี ได้มีเงินออมไว้ใช้ยามเกษียณ เพื่อความมั่นคงของชีวิตในช่วงสูงวัย “คนไทยมีปัญหาแก่แต่จนไม่มีเงินเก็บ จึงต้องใช้ กลไกรูปแบบใหม่จูงใจให้หันมาออมเงินมากขึ้น ผ่านสลากสะสมทรัพย์เพื่อเงินออมยามเกษียณหรือหวยเกษียณในเฟสแรก โดยเน้นไปที่แรงงานนอกระบบและผู้ประกันตนมาตรา 40 ซึ่งถือว่าเป็นกลุ่มที่มีรายได้น้อยและมีความเปราะบาง” นายเผ่าภูมิ กล่าว
โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการแก้กฎหมายกองทุนการออมแห่งชาติ ซึ่งคาดว่าจะสามารถเสนอ เข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้ในเดือนกันยายนนี้ และกระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการพิจารณาให้กลุ่มที่อายุเกิน 60 ปี สามารถซื้อสลากเกษียณได้ด้วย ขณะเดียวกันยังเตรียมพิจารณาขยายสิทธิ์ ในเฟสถัดไปให้ครอบคลุมทุกอาชีพ โดยในระยะที่ 2 ขยายไปยังแรงงานในระบบ และเฟสที่ 3 เป็นกลุ่มข้าราชการ ยืนยันว่าจะเริ่มขายสลากเกษียณงวดแรกได้ต้นปี 2568 ส่วนจำนวนแต่ละงวดจะมีสลาก 5 ล้านฉบับ ผ่านแอปของ กอช. โดยสามารถยืดหยุ่นได้หากเป็นที่ต้องการมากขึ้น ซึ่งจะทำให้มีเงินเข้าระบบ กอช. รวมกว่า 1.3 หมื่นล้านบาท และเงินจากการขายสลากเกษียณส่วนหนึ่งจะถูกนำไปลงทุนต่อ ผ่านกองทุนต่างๆ เป็นการกระตุ้นตลาดการเงินอีกทางหนึ่ง
“งบประมาณที่ใช้ทำโครงการสลากเกษียณไม่กระทบต่อภาระทางการคลัง เพราะใช้งบประมาณเพียง 700 ล้านบาทต่อปี โดยระหว่างนี้กระทรวงการคลังและ กอช.จะมีการจัดกิจกรรม สัญจรไปยังแต่ละภูมิภาคเพื่อรับฟังความเห็น เกี่ยวกับโครงการต่อไป การเริ่มออมจากตัวเอง นับเป็นทางเลือกหนึ่ง ที่ช่วยให้กลุ่มคนเหล่านี้ ได้มีเงินไว้ใช้ในยามเกษียณ ไม่มากก็น้อย และต้องยอมรับว่า ปัญหานี้ไม่สามารถแก้ไขได้ในระยะเวลาอันสั้น แต่มั่นใจว่า จะช่วยลดปัญหาคนไทยแก่แต่จนได้ในระดับหนึ่ง รวมทั้งช่วยลดภาระทางการคลัง ให้กับประเทศได้อีกทางหนึ่งด้วย” นายเผ่าภูมิ กล่าว. -517-สำนักข่าวไทย