กทม. 29 ส.ค.- ศาลอาญาคดีทุจริตฯ จำคุก “ยงยุทธ วิชัยดิษฐ” 2 ปี ฐานใช้ตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบ คดีทุจริตที่ดินสนามกอล์ฟอัลไพน์ ก่อนให้ประกันด้วยหลักทรัพย์ 500,000 บาท
ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง นัดฟังคำพิพากษาคดีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ยื่นฟ้องนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ ตกเป็นจำเลย
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า ขณะจำเลยดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวงมหาดไทย รักษาราชการแทนปลัดกระทรวงมหาดไทย จำเลยใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบ พิจารณาอุทธรณ์และสั่งให้เพิกถอนคำสั่งอธิบดีกรมที่ดิน โดยมีเจตนาช่วยเหลือบริษัท อัลไพน์ เรียลเอสเตท จำกัด, บริษัท อัลไพน์ กอล์ฟ แอนด์ สปอร์ตคลับ จำกัด และผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินในเวลาต่อมา ให้ได้รับประโยชน์โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157
ศาลพิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังในเบื้องต้นว่า ก่อนนางเนื่อม ชำนาญชาติศักดา ถึงแก่ความตาย ได้ทำพินัยกรรมยกที่ดิน 2 แปลง ให้แก่วัดธรรมิการามวรวิหาร ต่อมาเมื่อนางเนื่อม ถึงแก่ความตาย มูลนิธิมหามกุฎราชวิทยาลัยฯ ในฐานะผู้จัดการมรดก ได้โอนที่ดิน 2 แปลง ให้แก่มูลนิธิฯ และมูลนิธิฯ ได้ขายที่ดิน 2 แปลงดังกล่าวให้แก่บริษัท อัลไพน์ เรียลเอสเตท จำกัด, บริษัท อัลไพน์ กอล์ฟ แอนด์ สปอร์ตคลับ จำกัด ในราคา 142 ล้านบาท และในวันเดียวกัน บริษัททั้งสองนำที่ดินทั้ง 2 แปลงไปจดทะเบียนจำนองที่ดินกับธนาคาร เป็นเงิน 220 ล้านบาท ต่อมากรมที่ดินได้มีคำสั่งให้อธิบดีกรมที่ดินเพิกถอนรายการจดทะเบียนโอนที่ดินข้างต้น ตลอดจนรายการจดทะเบียนลำดับต่อๆ มาจากรายการข้างต้น เนื่องจากเห็นว่าเป็นการโอนที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียร่วม 290 ราย จึงอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าว กรมที่ดินยืนยันตามคำสั่งเดิม และเสนอเรื่องดังกล่าวต่อปลัดกระทรวงมหาดไทย จำเลยซึ่งดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวงมหาดไทย รักษาราชการแทนปลัดกระทรวงมหาดไทย พิจารณาแล้วเห็นควรให้เพิกถอนคำสั่งอธิบดีกรมที่ดิน
ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า พินัยกรรมของนางเนื่อม ระบุชัดเจนว่า ยกกรรมสิทธิ์ในที่ดินทั้ง 2 แปลง ให้แก่วัดธรรมิการามวรวิหารเท่านั้น มิได้ยกกรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าวให้แก่มูลนิธิมหามกุฎราชวิทยาลัยฯ แต่อย่างใด ทั้งภายหลังนางเนื่อมถึงแก่ความตาย วัดธรรมิการามวรวิหารได้นำที่ดินทั้ง 2 แปลงไปขึ้นทะเบียนที่ดินศาสนสมบัติวัดร้าง จ.ประจวบคีรีขันธ์ เป็นที่ธรณีสงฆ์ และนำที่ดินทั้ง 2 แปลง ให้บุคคลอื่นเช่าทำนา อันแสดงให้เห็นว่า วัดธรรมิการามวรวิหารได้เข้าครอบครองและรับเอาประโยชน์จากที่ดินทุกแปลงแล้ว และถือได้ว่าที่ดินที่นางเนื่อมแสดงเจตนาไว้ในพินัยกรรมยกให้แก่วัด ตกเป็นที่ธรณีสงฆ์ทันทีที่นางเนื่อมถึงแก่ความตาย แม้ยังมิได้จดทะเบียนเปลี่ยนแปลงชื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์เป็นชื่อวัดก็ตาม สอดคล้องกับความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกาที่กรมที่ดินนำมาพิจารณาประกอบการทำคำสั่งเพิกถอนรายการจดทะเบียนโอนที่ดิน คำสั่งอธิบดีกรมที่ดิน จึงเป็นคำสั่งที่ถูกต้อง การที่จำเลยพิจารณาอุทธรณ์และมีคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งอธิบดีกรมที่ดิน โดยจงใจละเลยข้อเท็จจริงต่างๆ ข้างต้น ทั้งยังจงใจตีความและใช้กฎหมายให้ผิดเพี้ยนไปจากความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2482 ที่ระบุให้กระทรวงฯ ถือปฏิบัติตามความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา คำสั่งของจำเลยจึงเป็นการใช้ดุลพินิจโดยไม่ชอบ ถือเป็นการแสวงหาประโยชน์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายแก่ผู้อื่น และก่อให้เกิดความเสียหายแก่วัดธรรมิการามวรวิหาร ทั้งยังทำลายศรัทธาของผู้เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา เช่น นางเนื่อม จำเลยจึงมีความผิดตามฟ้อง พิพากษาจำคุก 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา
ศาลฯ อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวนายยงยุทธ โดยตีราคาหลักทรัพย์ประกันเป็นเงินสด 500,000 บาท พร้อมกำหนดเงื่อนไขห้ามเดินทางออกนอกประเทศ เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากศาล และให้รายงานตัวต่อศาลทุก 30 วัน.-สำนักข่าวไทย