ตลาดหลักทรัพย์ 24 มิ.ย.- คลัง-ก.ล.ต.-ตลท. ตั้งโต๊ะแถลงมาตรการขับเคลื่อนตลาดทุน เตรียมเสนอ ครม. ปรับหลักเกณฑ์ ThaiESG ภายใน 2 สัปดาห์ เพิ่มวงเงินลดหย่อนสูงสุดไม่เกิน 300,000 บาท ลดเวลาถือครองจาก 8 ปี เหลือ 5 ปี ก่อนเคาะเงื่อนไขอีก 2 สัปดาห์ เล็งฟื้นกองทุนวายุภักษ์ส่งเสริมการออม ขอเวลาศึกษา 1 เดือน พร้อมเดินหน้ามาตรการคุมการซื้อขายไม่เหมาะสมต่อเนื่อง
SET ปิดวันนี้ที่ 1,316.73 จุด เพิ่มขึ้น 10.32 จุด (+0.79%) มูลค่าซื้อขาย 38,421.42 ล้านบาท มีแรงซื้อเก็งกำไรก่อนการแถลงข่าวร่วม ระหว่างนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังแถลง พร้อมด้วยนางพรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และนายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) แถลง “มาตรการขับเคลื่อนตลาดทุน” ในช่วง 17.00 น. วันนี้
โดยในการแถลง ร่วมกัน ได้พูดถึงสถานการณ์เศรษฐกิจและตลาดหุ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมาว่าเศรษฐกิจของไทยได้เผชิญกับความท้าทายจากหลายปัจจัย ทั้งจากภายในและภายนอกอย่างไรก็ดี เศรษฐกิจของไทยเริ่มมีการปรับตัวในทิศทาง ที่ดีขึ้นสอดคล้องไปกับผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน มีแนวโน้มที่ปรับตัวดีขึ้นระดับราคาของหุ้นไทยที่ปรับลดลงในขณะที่ผลประกอบการมีแนวโน้มฟื้นตัวตามภาวะเศรษฐกิจที่ดีขึ้น เป็นโอกาสของการเข้าลงทุนในระยะยาว ที่รับความเสี่ยงผันผวนในระยะสั้นเพื่อสร้างผลตอบแทนในระยะยาว ตอบโจทย์การสร้างความเพียงพอ ความมั่นคงทางการเงินของผู้ลงทุนได้
สำหรับมาตรการส่งเสริมการออมการลงทุน นั้น มองว่า การลงทุนที่ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี สามารถจูงใจให้มีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เกิดการออม และยังสร้าง fund flow เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ เพื่อลดผลกระทบระยะสั้นได้ จากความสำเร็จของกองสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ผ่านมา นำมาปรับเงื่อนไขกอง ThaiESG ให้มีความน่าสนใจ สอดคล้องกับเป้าหมายในการสร้าง positive impact ที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนในมิติด้านสิ่งแวดล้อม และการให้ความสำคัญกับการสร้างผลตอบให้กับผู้ถือหน่วยลงทุน คาดว่าจะเสนอ ครม. ภายใน 2 สัปดาห์นี้ โดยให้มีผลย้อนหลังการลงทุนตั้งแต่ 1 ม.ค. 2567 คาดว่าจะกระตุ้นการลงทุนและรองรับเงินออม ระยะยาวที่ลงทุนในหุ้นหรือพันธบัตที่อยู่ในหุ้นยั่งยืน โดยเติมเรื่องของหุ้นบรรษัทภิบาลที่ดี เพิ่มขึ้นไปด้วย สำหรับเงื่อนไขเสนอเพิ่มวงเงินลดหย่อนภาษี จากเดิมให้ลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 30% ของรายได้ แต่สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท เป็นสูงสุดไม่เกิน 300,000 บาทต่อปี ลดระยะเวลาถือครองหน่วยลงทุน จากเดิมถือครองไม่ต่ำกว่า 8 ปี เหลือไม่ต่ำกว่า 5 ปี ซึ่งคาดว่าจะมีวงเงินลงทุนราว 3 หมื่นล้านบาท จำนวนหุ้นที่อยู่ในโครงการนี้ก็จะเพิ่มจาก 128 หุ้นเป็นเพิ่มอีก 200 หุ้นหรือรวมกว่า 300 หุ้น ซึ่งในการปรับเงื่อนไขครั้งนี้ จะทำให้รัฐสูญเสียรายได้ภาษีประมาณ 13,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ ภาครัฐยังศึกษาความสำเร็จของกองทุนในรูปแบบอื่นมาเสริมสร้างกลไกการออมอีกด้วย อาทิ กองทุนวายุภักษ์มาเสริมสร้างกลไกการออม การลงทุนให้กับประชาชนผ่านรูปแบบการลงทุนร่วมของภาครัฐ และการมีโครงสร้างผลตอบที่มีขั้นต่ำ ขั้นสูง การกำหนดลำดับของสิทธิการได้รับผลตอบแทนที่จะรองรับกลุ่มของผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้แตกต่างกันอีกด้วย โดยขอเวลาศึกษารายละเอียด 1 เดือน น่าจะมีความชัดเจนมากขึ้น ยังมีการขับเคลื่อนและผลักดันการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ในลักษณะอื่น ๆ เช่น การจัดกลุ่มอุตสาหกรรมที่เป็นเทรนด์ในอนาคต และการพัฒนา Exchange-Traded Fund (ETF) รวมทั้งบัญชีส่วนบุคคลเพื่อการลงทุนระยะยาว (Individual Saving Account) ที่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี เป็นต้น
ด้านมาตรการยกระดับความเชื่อมั่นตลาดทุน มี ก.ล.ต. ร่วมกับ ตลท. และ ASCO ได้ผลักดันมาตรการต่าง ๆ ในเรื่องธุรกรรมขายชอร์ต การซื้อขายของโปรแกรมเทรด ที่กระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน และเร่งรัดให้เกิดการดำเนินการที่คำนึงถึงผลกระทบด้านต่าง ๆ อย่างรอบคอบ โดยส่วนใหญ่จะดำเนินการได้ต้นเดือน ก.ค. 67 ทั้งนี้ ก.ล.ต. และ ตลท. จะติดตามผล มีการทบทวนมาตรการให้เหมาะสมกับสภานการณ์ ขอให้มั่นใจว่า พฤติกรรมการกระทำผิดในลักษณะ misconduct จะดำเนินการอย่างเข้มงวด และระดับความรุนแรงของความผิดจะ สูงขึ้น จากมาตรการที่ขับเคลื่อนครั้งนี้
นอกเหนือจากการขับเคลื่อนในมิติการลงทุนระยะยาวการกำกับที่เข้มข้นมากขึ้นยังมีการขับเคลื่อนให้มีการ พัฒนาตลาดทุนให้เป็นกลไกสำคัญสอดคล้องกับสังคม ดิจิทัล สังคมสีเขียวอีกด้วย ตัวอย่างโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานตลาดทุนให้ end to end เป็นดิจิทัลการระดมทุนจาก Digital Asset ตลอดจนการส่งเสริมการซื้อขายคาร์บอนเครดิตในตลาดที่มีการกำกับดูแลเพื่อคุ้มครองนักลงทุนและสร้างความโปร่งใสที่เชื่อถือได้ให้เกิดขึ้น .-516-สำนักข่าวไทย
