“กรุงไทย” ชี้ธุรกิจอาหารทางการแพทย์เติบโตสูง คาดอีก 7 ปี มูลค่าแตะหมื่นล้านบาท

กรุงเทพ 24 ต.ค.-ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ชี้อาหารทางการแพทย์เป็นธุรกิจแห่งอนาคต สอดรับการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุระดับสุดยอด คาดมูลค่าตลาดเติบโตต่อเนื่องแตะ 1 หมื่นล้านบาทในอีก 7 ปีข้างหน้า แนะผู้ประกอบการไทยเร่งสร้างโอกาส เพิ่มมูลค่าและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย ตอบโจทย์กลุ่มผู้สูงอายุและผู้ป่วยเฉพาะโรค


นายพชรพจน์ นันทรามาศ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ และ Chief Economist ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ปัจจุบันหลายประเทศทั่วโลกกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุระดับสุดยอด (Super-Aged Society) โดยมีสัดส่วนของประชากรผู้สูงอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป มากกว่า 20% ของประชากรทั้งหมด ในระยะ 5-6 ปีข้างหน้า จึงเป็นโอกาสของอุตสาหกรรมอาหารของไทยในการพัฒนาอาหารทางการแพทย์ (Medical Foods) ที่เหมาะสมสำหรับผู้สูงอายุ และผู้ป่วยเฉพาะโรค

โดยคาดว่า ในปี 2573 มูลค่าตลาด Medical Foods ของโลกจะสูงถึง 3.66 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากในปี2565 ที่มีมูลค่าตลาดประมาณ 2.19 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สำหรับประเทศไทย คาดว่า ในปี 2573 ตลาดMedical Foods จะมีมูลค่าประมาณ 9.5 พันล้านบาท หรือขยายตัวเฉลี่ยปีละ 6.2% จากในปี 2565 ที่มีมูลค่าตลาดประมาณ 5.9 พันล้านบาท


นางสาวสุคนธ์ทิพย์ ชัยสายัณห์ นักวิเคราะห์ ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS กล่าวว่า ผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม Medical Foods ที่มีแนวโน้มเติบโตดี ได้แก่ อาหารทางการแพทย์สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน โรคไตเรื้อรัง และผู้ที่มีความเสี่ยงต่อภาวะขาดสารอาหาร เช่น ผู้สูงอายุ โดยกลุ่มผู้ประกอบการที่จะได้รับประโยชน์จากการเติบโตของตลาดMedical Foods ได้แก่ ผู้ประกอบธุรกิจผลิตส่วนผสมอาหารทางการแพทย์ ผู้ประกอบธุรกิจผลิตอาหารทางการแพทย์รวมถึงผู้ประกอบการในธุรกิจต่อเนื่องที่มีโอกาสพัฒนาสูตรอาหารทางการแพทย์ที่มีคุณภาพและได้มาตรฐาน เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์ เช่น ธุรกิจโรงพยาบาล ธุรกิจดูแลผู้สูงอายุและผู้ป่วยเป็นต้น

ปัจจุบันผู้ประกอบการไทยเริ่มมีการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ เพื่อต่อยอดสู่อาหารทางการแพทย์สำหรับผู้สูงอายุและผู้ป่วย มีส่วนช่วยลดการนำเข้าจากต่างประเทศ จากปัจจุบันที่มีมูลค่านำเข้าประมาณ 10,000 ล้านบาทต่อปี รวมทั้งช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้สูงอายุและผู้ป่วย เพราะอาหารทางการแพทย์ที่ผลิตในประเทศมีราคาต่ำกว่าการนำเข้าประมาณ 10% ทำให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงอาหารทางการแพทย์ได้มากขึ้น และคาดว่าผู้ผลิตอาหารทางการแพทย์จะมีอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นจาก 23% เป็น 42% หรือเพิ่มขึ้น 19% เมื่อเทียบกับการผลิตอาหารทั่วไป นอกจากนี้ หากต่อยอดสู่ Organic/Plant-based Medical Foods จะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าเกษตรของไทยประมาณ 12-22 เท่า และคาดว่าจะทำให้ผู้ผลิตอาหารทางการแพทย์มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงถึง 55%

นางสาวอังคณา สิทธิการ นักวิเคราะห์ ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS กล่าวว่า ธุรกิจอาหารทางการแพทย์ของไทยอยู่ในช่วงเริ่มต้นของวัฏจักรธุรกิจ ผู้บริโภคส่วนใหญ่ยังรับรู้ถึงประโยชน์ของผลิตภัณฑ์ไม่มาก และเผชิญการแข่งขันกับสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ ผู้ประกอบการจึงควรเน้นการลงทุนในเทคโนโลยี วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายและได้มาตรฐานสากล ศึกษากฎระเบียบและมาตรฐานส่งออกอาหารทางการแพทย์ของประเทศคู่ค้า รวมทั้งสร้างการรับรู้ถึงประโยชน์ของอาหารทางการแพทย์ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการหรือบรรเทาอาการของโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ซึ่งจะช่วยลดระยะเวลาและค่าใช้จ่ายในการรักษา นอกจากนี้ ควรสร้างความร่วมมือทั้ง Ecosystem ตั้งแต่ผู้ประกอบการ โรงพยาบาล สถาบันการศึกษา สถาบันวิจัยและพัฒนา รวมถึงหน่วยงานภาครัฐที่ให้การรับรองมาตรฐานและให้คำปรึกษาด้านมาตรฐานอาหารทางการแพทย์ เพื่อยกระดับศักยภาพและเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยมากขึ้น.-สำนักข่าวไทย


ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

โค้งสุดท้ายเลือกตั้ง นายก อบจ.อุบลฯ เดือด ส่งท้ายปี

ใกล้เข้ามาทุกขณะสำหรับการเลือกตั้งนายก อบจ.อุบลราชธานี วันอาทิตย์ที่ 22 ธันวาคมนี้ ซึ่งถือเป็นสนามเลือกตั้งท้องถิ่นขนาดใหญ่ส่งท้ายปีนี้ การแข่งขันดุเดือดเกินคาด ผู้สมัครต่างเร่งหาเสียงกันอย่างเต็มที่ โดยมีผู้สมัคร 4 คน ลงชิงชัย ไปติดตามบรรยากาศโค้งสุดท้ายว่าใครจะเป็นผู้คว้าชัย

ทอ.ส่ง F-16 ขึ้นบินป้องน่านฟ้า หลังมีอากาศยานไม่ทราบฝ่าย เหนือชายแดนไทย-เมียนมา

กองทัพอากาศส่งเครื่องบินขับไล่ F-16 ขึ้นบิน เพื่อพิสูจน์ฝ่ายและสกัดกั้นอากาศยานไม่ทราบฝ่าย บริเวณแนวชายแดนไทย-เมียนมา จ.ตาก

อุตุฯ เผยอีสาน-เหนือ อากาศหนาว กทม.อุณหภูมิลดลงเล็กน้อย

กรมอุตุฯ เผยภาคอีสาน ภาคเหนือ มีอากาศเย็นถึงหนาว ส่วนภาคกลาง ภาคตะวันออก ภาคใต้ตอนบน มีอากาศเย็นในตอนเช้า ส่วนกรุงเทพฯ-ปริมณฑล อุณหภูมิลดลงเล็กน้อย ขอให้ประชาชนบริเวณดังกล่าวดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศหนาวเย็น

lightened Christmas tree in front of U.S. Capitol

รู้จัก “ชัตดาวน์” ของสหรัฐและผลกระทบ

วอชิงตัน 20 ธ.ค.- หน่วยงานจำนวนมากของรัฐบาลสหรัฐเสี่ยงต้องปิดทำการชั่วคราว หรือที่เรียกว่า กัฟเวิร์นเมนต์ ชัตดาวน์ (government shutdown) หลังผ่านพ้นเที่ยงคืนวันนี้ (20 ธันวาคม) ตามเวลาสหรัฐ หากรัฐสภาไม่สามารถผ่านร่างงบประมาณฉบับใหม่ได้ทันเวลา หลังจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐลงมติไม่เห็นชอบร่างงบประมาณฉบับใหม่เมื่อวานนี้ สาเหตุที่เสี่ยงชัตดาวน์ ปกติแล้วรัฐสภาสหรัฐ ซึ่งประกอบด้วยสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาจะต้องจัดสรรงบประมาณให้แก่หน่วยงานรัฐบาลกลางทั้งหมด 438 แห่งก่อนวันที่ 1 ตุลาคมของทุกปี แต่ที่ผ่านมาสมาชิกรัฐสภามักทำไม่ได้ตามกำหนดเวลา และมักผ่านร่างงบประมาณชั่วคราวเพื่อให้หน่วยงานรัฐบาลสามารถดำเนินการได้ต่อไปในระหว่างที่สมาชิกรัฐสภาหารือกันเพื่อผ่านร่างงบประมาณจริง ร่างงบประมาณชั่วคราวฉบับปัจจุบันจะหมดอายุเมื่อเข้าสู่เช้าวันเสาร์ตามเวลาสหรัฐ สมาชิกรัฐสภาพรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแครตเตรียมร่างกฎหมายที่จะขยายเวลาไปจนถึงวันที่ 14 มีนาคม 2568 แต่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีเรียกร้องให้สมาชิกรัฐสภาพรรครีพับลิกันลงมติไม่เห็นด้วย และเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐลงมติไม่เห็นชอบร่างงบประมาณที่เสนอใหม่ ดังนั้นหากรัฐสภาไม่สามารถผ่านร่างงบประมาณฉบับใหม่ได้ก่อนที่ร่างงบประมาณชั่วคราวฉบับปัจจุบันจะหมดอายุ ก็จะเกิดการชัตดาวน์ เพดานหนี้ที่ทรัมป์ต้องการให้แก้ นายทรัมป์ยังต้องการให้สมาชิกรัฐสภาแก้ปัญหาเรื่องการกำหนดเพดานหนี้ประเทศให้รัฐบาลสามารถกู้ยืมได้มากขึ้น ก่อนที่เขาจะสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีในวันที่ 20 มกราคม 2568 รัฐสภาสหรัฐเป็นผู้กำหนดเพดานหนี้สาธารณะที่อนุญาตให้รัฐบาลก่อหนี้ แต่เนื่องจากรัฐบาลมักใช้จ่ายมากกว่ารายได้ที่ได้จากการจัดเก็บภาษี สมาชิกรัฐสภาจึงต้องคอยแก้ปัญหานี้เป็นครั้งคราว รัฐสภาสหรัฐกำหนดเพดานหนี้สาธารณะครั้งแรกในปี 2482 โดยกำหนดไว้ที่ 45,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.55 ล้านล้านบาทในปัจจุบัน) และนับจากนั้นเป็นต้นมาได้ขยายเพดานหนี้แล้วทั้งหมด 103 […]

ข่าวแนะนำ

ฟรีคอนเสิร์ต “มหานครคัลเลอร์ฟูลปาร์ตี้ 2025” ส่งสุขรับปีใหม่

ส่งความสุขรับปีใหม่ กับฟรีคอนเสิร์ต “มหานครคัลเลอร์ฟูลปาร์ตี้ 2025” ศิลปินลูกทุ่งเกือบ 100 ชีวิต ร่วมโชว์จัดเต็ม

เลือกตั้งนายก อบจ.อุบลฯ “กานต์” ส่อเข้าป้าย

เลือกตั้งนายก อบจ.อุบลราชธานี “กานต์” หมายเลข 1 จากเพื่อไทย ส่อเข้าป้าย ด้าน ปชน. แถลงยอมรับยังไม่เป็นที่ไว้วางใจ ส่วนอุตรดิตถ์ “ชัยศิริ” อดีตนายก อบจ. ส่อเข้าวิน

เด้ง ตร.จราจร ปมคลิปรับเงินแลกไม่เขียนใบสั่ง

ผบก.ภ.จว.นนทบุรี สั่งย้าย “รอง สว.จร.สภ.รัตนาธิเบศร์” เซ่นคลิปรับเงินแลกไม่ออกใบสั่ง พร้อมตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริงภายใน 3 วัน ด้านเจ้าตัวอ้างไม่เห็นเงินที่วางบนโต๊ะในตู้ควบคุมสัญญาณไฟจราจร