กรุงเทพฯ 18 ก.ย.-“ปดิพัทธ์” ยันตั้งงบฯ ไปดูงานสิงคโปร์ตามระเบียบ โปร่งใส่ ตรวจสอบได้ ชี้ต้องตั้งสูงไว้ก่อน แต่ใช้ตามจริงเหลือคืนสภาฯ 20 ก.ย.แถลงอีกครั้ง
นายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 กล่าวถึงกรณีที่โฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ ตั้งข้อสังเกตจัดคนไปดูงานที่ประเทศสิงคโปร์ใช้งบสูงเกินความเป็นจริงว่า มีโครงการค่าใช้จ่ายก็ต้องแจ้งค่าใช้จ่ายตามระเบียบงบประมาณ 1 สำนักงบประมาณ กระทรวงการคลัง ว่าในการเดินทางเบิกได้เท่าไหร่อย่างไรบ้าง จึงตั้งงบประมาณแบบสูงสุดไว้ก่อน แต่การใช้จ่ายเป็นไปตามสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ซึ่งถูกกว่าที่ตั้งงบประมาณไว้ และเมื่องบประมาณเหลือก็ต้องส่งกลับคืนคลังทั้งหมด
“เรื่องการจองที่พักและการเดินทางเป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ต้องดำเนินการตามระเบียบ แต่ผมให้นโยบายว่าอย่าเต็มที่นักเลย ยังบอกว่าให้บินสายการบินประหยัดด้วยซ้ำ และค่าที่พักไม่จำเป็นต้องถึง 12,000 บาท เพียง 7,000 – 8,000 ก็พอ แต่จะให้ไปนอนโฮสเทลก็ไม่ใช่เรื่อง ซึ่งเจ้าหน้าที่ก็ไปทำการบ้านมา แต่มีระเบียบว่าผมต้องบินด้วยสายการบินแห่งชาติ” นายปดิพัทธ์ กล่าว
ส่วนข้อสังเกตว่าไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน ไม่จำเป็นต้องใช้งบประมาณไม่คุ้มค่านายประดิพัทธ์ กล่าวว่า ขอให้รอดูผลการทำงานของตนหลังจากกลับมาก่อน อย่าคาดการณ์ตั้งแต่ยังไม่ไป ถือเป็นเรื่องแปลก จึงขอให้รอดูว่าเมื่อไปแล้วจะมีรายงานอะไรกลับมาบ้าง โดยจะจัดส่งถึงรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องและประธานสภาฯ การเดินทางไปดูงานครั้งนี้ไม่ได้มีแค่ผม แต่ยังมีหน่วยงานอื่นที่ต้องถูกจับตามอง ทั้งองค์กรอิสระ ศาล กรรมาธิการ รวมถึงรัฐบาลก็ไปดูงานต่างประเทศมากมายมหาศาล
“ถือเป็นโอกาสดีที่สังคมจะได้ตั้งคำถามในเรื่องนี้ ของยืนยันว่าทั้งหมดทำด้วยความโปร่งใสและพร้อมรับการตรวจสอบ ซึ่งการวิพากษ์วิจารณ์ครั้งนี้จะไม่ทำให้การเดินทางไปดูงานต่างประเทศในครั้งนี้ต้องสะดุด เพราะทุกอย่างทำตามขั้นตอน และจะแถลงชี้แจงอย่างเป็นทางการวันที่ 20 ก.ย.” นายปดิพัทธ์ กล่าว
นายปดิพัทธ์ กล่าวว่า การเดินทางไปการจะเดินทางไปสิงคโปร์ในครั้งนี้ เพื่อดูงาน เรื่อง Smart and Open pariment การจัดการฝุ่นและชีวิตคนไทยในสิงคโปร์ ซึ่งทุกคนที่ไป ล้วนมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนรัฐสภาโปร่งใส มีประสิทธิภาพสูงทุกคน ส.ส.ที่ร่วมคณะไปก็แสดงความจำนงว่าสนใจในงานกิจการสภา โดยตนได้ชิญไปถึงพรรคร่วมรัฐบาลแล้วด้วย ทั้งพรรคภูมิใจไทยและพรรคเพื่อไทย ไม่ได้มุ่งเอาไปเฉพาะคนของฝ่ายค้าน เพราะเป็นงานของฝ่ายนิติบัญญัติ.-สำนักข่าวไทย