ชลบุรี 5 ก.ย.- กรมทะเลชายฝั่ง เร่งติดตามผลกระทบต่อทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง จากเหตุน้ำมันดิบรั่วบริเวณทุ่นผูกเรือกลางทะเลของโรงกลั่นน้ำมันไทยออยล์ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ล่าสุดยังคงพบคราบน้ำมันบางส่วนบริเวณเกาะท้ายตาเหมือนด้านตะวันออก
นายอภิชัย เอกวนากุล รองอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง รักษาราชการแทนอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งกล่าวว่า จากกรณีเกิดเหตุน้ำมันดิบรั่วไหลจากเรือบรรทุกน้ำมัน ขณะขนถ่ายน้ำมันดิบบริเวณทุ่นผูกเรือกลางทะเล หมายเลข 2 (SBM-2) ของโรงกลั่นน้ำมันไทยออยล์ ซึ่งอยู่บริเวณทางตอนใต้ของเกาะสีชัง จังหวัดชลบุรี เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2566 โดยกรมฯ ได้เร่งดำเนินการประสานงานกับ ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล กรมเจ้าท่า กรมควบคุมมลพิษ และบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) เพื่อรีบจัดการคราบน้ำมัน ก่อนที่จะแพร่กระจายไปยังบริเวณใกล้เคียง ซึ่งทางบริษัท ไทยออยล์ จำกัด แจ้งว่า ภายหลังเกิดเหตุได้เข้าควบคุมสถานการณ์บริเวณที่เกิดเหตุทันที โดยได้ปิดวาล์วท่อน้ำมันที่เกิดปัญหาและวางทุ่นล้อมคราบน้ำมันเพิ่มเติมเพื่อป้องกันและจำกัดการแพร่กระจายตามขั้นตอนที่เป็นมาตรฐานสากล ทำให้ขณะนี้ไม่มีน้ำมันรั่วไหลเพิ่มเติมแล้วและไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ดังกล่าว อีกทั้งบริษัทฯ ได้ร่วมกับกรมเจ้าท่าฉีดพ่นสารเคมีเพื่อขจัดคราบน้ำมันให้ย่อยสลายบริเวณจุดเกิดเหตุดังกล่าว
ต่อมาทางเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชน ได้ร่วมกันตรวจสอบคราบน้ำมัน บริเวณทุ่นผูกเรือน้ำลึกแบบทุ่นเดี่ยว และจุดขนถ่ายน้ำมันในทะเล ทุ่น S8m ของบริษัทฯ พบคราบน้ำมันเป็นฟิล์มบางๆ เป็นวงกว้าง ประมาณ 5 กิโลเมตร มีทิศทางเคลื่อนที่ไปทางตะวันตกของเกาะสีชัง และเคลื่อนที่ไปทางอ่าวอุดมส่วนหนึ่ง
จากการตรวจสอบด้วยพารามิเตอร์ในช่วงเช้า พบคราบน้ำมันบางส่วนบริเวณเกาะท้ายตาเหมือนด้านตะวันออก ทางบริษัทฯ กำลังดำเนินการขจัดคราบน้ำมัน พร้อมกับขอรับการสนับสนุนภาพการตรวจการณ์โดยอากาศยานและ UAV ของกองทัพเรือ
ส่วนการดำเนินการขจัดคราบน้ำมันในเบื้องต้น ได้แบ่งพื้นที่ สำหรับ Oil Spill Operation ออกเป็น 3 พื้นที่ Block ละ 9 ตารางไมล์ (ด้านละ 3 ไมล์) กำหนดชื่อ เป็น A B C มีการออกคำสั่งระงับการใช้งานทุ่นเทียบเรือ SBM2 ที่เกิดเหตุ พร้อมทั้งประกาศแจ้งให้ระมัดระวังการเดินเรือในพื้นที่ และมอบหมายเจ้าหน้าที่แจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษผู้กระทำความผิดตาม พ.ร.บ.การเดินเรือฯ
นอกจากนี้ มีการสำรวจพื้นที่อ่อนไหวที่จะได้รับผลกระทบจากคราบน้ำมันรั่วไหลเข้าชายฝั่ง อาทิ ผลกระทบต่อการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ พื้นที่ศรีราชามี แปลงหอย 4 แปลง ตั้งแต่บางพระ ถึงอ่าวอุดม แพเลี้ยงหอย 1,500 แพ โดยสั่งการให้เจ้าหน้าที่ศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอ่าวไทยฝั่งตะวันออก (ศวทอ.) สำนักงานทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 2 ลงพื้นเพื่อเก็บตัวอย่างน้ำบริเวณที่เกิดเหตุไปตรวจสอบคุณภาพน้ำ พร้อมทั้งให้เจ้าหน้าที่เฝ้าระวังอย่างต่อเนื่องป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายต่อทรัพยากรทางทะเล เนื่องจากหากมีคราบน้ำมันลอยอยู่บนผิวน้ำจะทำปฏิกิริยากับออกซิเจน ทำให้ออกซิเจนในน้ำลดลง และปิดกั้นการสังเคราะห์แสงของแพลงก์ตอนพืช สาหร่าย และพืชน้ำต่างๆ เปลี่ยนแปลงสภาวะการย่อยสลายของแบคทีเรียในน้ำ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดล้วนส่งผลเสียต่อสิ่งมีชีวิตในน้ำทะเลที่อาศัยอยู่บริเวณนั้น
จากการตรวจสอบข้อมูลทรัพยากรแนวปะการังและแหล่งหญ้าทะเลในพื้นที่ชายฝั่งจังหวัดชลบุรี พบแนวปะการังใกล้จุดเกิดเหตุที่สุดอยู่ที่เกาะท้ายตาหมื่น ซึ่งห่างจากจุดเกิดเหตุไปทางทิศเหนือเป็นระยะทาง 6.10 กิโลเมตร มีพื้นที่แนวปะการัง 32 ไร่ แนวปะการังอยู่ในสถานภาพสมบูรณ์ดี – สมบูรณ์ดีมาก และแนวหญ้าทะเลใกล้จุดเกิดเหตุที่สุดคือหาดบางเสร่ ห่างจากจุดเกิดเหตุลงมาทางใต้เป็นระยะทาง 38 กิโลเมตร พื้นที่ศักยภาพเป็นแหล่งหญ้าทะเลประมาณ 189.9 ไร่ การปกคลุมร้อยละ 70 ของพื้นที่ สถานภาพสมบูรณ์ดีปัจจุบัน ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งข้างต้น ยังไม่ได้รับผลกระทบจากการรั่วไหลของน้ำมันดังกล่าว
นอกจากนี้ ขอความร่วมมือประชาชนและนักท่องเที่ยว หากพบน้ำมันรั่วไหลบริเวณทะเลและชายฝั่ง หรือพบการกระทำผิดกฎหมาย สามารถแจ้งมายังสายด่วนพิทักษ์ป่าและรักษาทะเล โทร.1362 ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในแต่ละพื้นที่เร่งเข้าตรวจสอบ และช่วยเหลือได้ทันท่วงทีต่อไป
ข้อมูลจากภาพถ่ายดาวเทียมของ GISTDA เวลา 06.04 น. วันนี้ (5 ก.ย.) จากภาพดาวเทียมพบกลุ่มคราบน้ำมันที่คาดว่าน่า จะเป็นฟิล์มน้ำมันบางๆ ในบริเวณที่สอดคล้องกับภาพถ่ายด้วยอากาศยาน บริเวณเกาะสีชังและเกาะค้างคาว แต่ไม่พบกลุ่มน้ำมันที่มีลักษณะเข้มและหนา.-สำนักข่าวไทย