สำนักงาน กกต. 24 พ.ค. – “เรืองไกร” ยื่น กกต. ตรวจสอบ 8 พรรคร่วมกันเซ็น MOU ตั้งรัฐบาล เข้าข่ายผิดกฎหมายเป็นเหตุให้ยุบพรรคหรือไม่ ยันที่ผ่านมาร้องทุกคน ไม่ใช่แค่ “พิธา”
นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ยื่นหนังสือต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อขอให้ตรวจสอบ 8 พรรคที่ร่วมกันลงนาม MOU ตั้งรัฐบาล เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคมที่ผ่านมา ว่าเข้าข่ายผิดมาตรา 28 พระราชบัญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยพรรคการเมืองหรือไม่
นายเรืองไกร กล่าวว่า วันที่ 22 พฤษภาคม มีการเซ็น MOU ของ 8 พรรค ซึ่ง กกต. ควรจะทราบว่าการเซ็น MOU ที่ผ่านมามีหัวหน้าพรรคทั้ง 8 พรรคเซ็นลงนาม ตนได้เห็นก็นึกไปถึงว่ารัฐธรรมนูญได้ระบุให้ ส.ส. ต้องไม่อยู่ภายใต้อาณัติมอบหมาย การที่ไปลงนาม ตามมาตรา 28 พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง ได้ห้ามพรรคการเมืองไม่ให้กระทำการ เพราะสิ่งที่ไปลงนามก็เท่ากับเป็นการไปยอมรับเงื่อนไขในการทำกิจกรรมทางการเมืองจากอีก 7 พรรคเข้ามา ซึ่งเรื่องนี้มันจะเข้าข่ายหรือไม่ จึงอยากให้ กกต. ตรวจสอบ เพราะ 7 พรรคที่มาเซ็นลงนามกับพรรคก้าวไกลไม่สามารถจะเป็นสมาชิกพรรคได้ โดยการเป็นสมาชิกพรรคการเมือง ซึ่งหัวหน้าพรรคการเมือง 7 พรรค เป็นไม่ได้แน่นอน คนคนหนึ่งจะเป็นสมาชิกพรรคซ้อนกัน 2 พรรคไม่ได้ เท่ากับเป็นการยอมให้ 7 พรรคตกลงเงื่อนไข ซึ่งที่ผ่านมาเราดูทำเนียมปฏิบัติการตั้งรัฐบาลส่วนใหญ่ก็แค่จับไม้จับมือและแถลงข่าว ไม่มีการเซ็นเอกสารอะไร ฉะนั้นตนจึงย้อนไปนึกถึงลงนาม MOU สมัยนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ และนายนพดล ปัทมะ นั่นมันจะมีลักษณะต้องห้ามหรือไม่
นายเรืองไกร กล่าวอีกว่า หลักฐานอย่างนี้ไม่ใช่ดูแค่รัฐธรรมนูญอย่างเดียว ซึ่งตนก็ได้ไปดูข้อบังคับของพรรคก้าวไกล เรื่องที่ว่าหัวหน้าพรรคจะไปเซ็น MOU กับใครได้หรือไม่ ซึ่งก็ไม่มีปรากฏ แต่พอมาดู พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง ที่คนที่เป็นหัวหน้าพรรคเป็นตัวแทนพรรค ก็เท่ากับได้รับอาณัติมาจากสมาชิกพรรคและกรรมการบริหารพรรค เรื่องนี้ต่างหากที่เป็นประเด็นที่จะนำไปสู่การเข้าข่ายการถูกยุบพรรคได้หรือไม่ ส่วนกรณีการถือครองหุ้นสื่อนั้นเป็นลักษณะต้องห้ามเฉพาะตัว แต่กรณีนี้เป็นลักษณะต้องห้ามการกระทำของพรรคการเมืองซึ่งเขาห้าม ก็ต้องแล้วแต่ดุลยพินิจของ กกต. ว่าจะเห็นเหมือนที่เราเห็นหรือไม่
เมื่อถามว่าการยื่นเรื่องร้องเรียนในครั้งนี้จะนำไปสู่การพิจารณายุบพรรคก้าวไกลหรือไม่ นายเรืองไกร กล่าวว่า ไม่ใช่เฉพาะพรรคก้าวไกล แต่ยุบทั้ง 8 พรรค เพราะต่างฝ่ายต่างยอมรับเงื่อนไข ซึ่งไม่ใช่สมาชิกพรรคซึ่งกันและกันเข้ามาครอบงำ โดยเอกสารที่เซ็นทั้ง 8 รายชื่อลงนามโดยหัวหน้าพรรคทั้งหมด เรื่องดังกล่าวไม่ใช่เรื่องการขาดคุณสมบัติเฉพาะตัว แต่เป็นเรื่องพรรคการเมืองฝ่าฝืนมาตรา 28 หรือไม่ แล้วจะเข้าข่ายความผิดตามมาตรา 92 (3) ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ที่ต้องส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรคหรือไม่ ตนมีข้อเท็จจริง และกฎหมายอ้างอิงให้มาตรวจสอบ ส่วนรายละเอียดในข้อตกลง MOU บางประเด็นที่บางพรรคการเมืองไม่ได้ปฏิบัติตาม จะร้องแค่พรรคก้าวไกลอย่างเดียวไม่ได้ เพราะทั้ง 8 พรรคร่วมกระทำ
เมื่อถามอีกว่าคิดว่าการร้องในครั้งนี้จะเป็นเงื่อนไขให้สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ไม่ตัดสินใจโหวตให้นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่ นายเรืองไกร กล่าวว่า ไม่เกี่ยวที่จะเป็นเหตุให้ ส.ว.โหวตหรือไม่ให้นายพิธา
เมื่อถามเพิ่มเติมว่าการร้องเรียนกรณีนายพิธา มีเจตนาเพื่อหวังผลทางการเมืองหรือไม่ นายเรืองไกร กล่าวว่า มีเหตุตรวจสอบตนก็ยื่นร้อง ไม่มีเหตุแล้วมาปั้นพยานหลักฐานเท็จนั้นไม่ใช่ การออกมาทำหน้าที่ถึงทำในฐานะนอกสภาตนก็ทำมาตลอด 10 กว่าปี เรื่องร้องเรียนกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทรโอชา ตนร้องมากที่สุด ทั้งเรื่องการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 8 ปี การถวายสัตย์ฯ และเรื่องบ้านพัก รองลงมาคือการร้องพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ โดยเฉพาะเรื่องนาฬิกายืมเพื่อน ที่ได้ร้องย้ำๆ มาตลอด ถ้าวันนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งเป็นรักษาการนายกฯ แล้วไปทำผิดตนก็ร้อง หรือว่านายวิษณุ เครืองาม ทำผิด ตนก็ร้องถ้ามีเหตุต้องร้อง.-สำนักข่าวไทย