นนทบุรี 3 มี.ค.-อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศชี้ปี 66 จะเร่งแผนผลักดันการนำนวัตกรรมดิจิทัลมาใช้ในงานให้บริการผู้ประกอบการ ดังวิสัยทัศน์กรมฯ “เป็นองค์กรนำนวัตกรรมสมัยใหม่ขับเคลื่อนการค้าไทยสู่ความเป็นเลิศในเวทีโลก และยังประหยัดค่าใช้จ่ายจากต้นทุนการเดินทางและระยะเวลาการขอรับหนังสือรับรองฯ และลดขั้นตอนกระบวนการขอรับหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าได้เฉลี่ยมากกว่าปีละ 500 ล้านบาท
นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า ในปี 2566 นี้ กรมฯ จะทำการเปิดใช้ระบบงานบริการที่สำคัญของกรมฯ 2 ระบบ ได้แก่ ระบบตรวจสอบถิ่นกำเนิดสินค้าแบบไร้กระดาษ และระบบการออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า ณ สำนักงานผู้ประกอบการ (SMART C/O) โดยเป็นการนำนวัตกรรมดิจิทัลเข้ามาใช้ในการพัฒนาระบบการให้บริการตรวจคุณสมบัติด้านถิ่นกำเนิดสินค้าและออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าของไทย ซึ่งเป็นการยกระดับการให้บริการที่สอดคล้องตามแผนพัฒนารัฐบาลดิจิทัลของประเทศ ซึ่งระบบฯ ทั้ง 2 จะช่วยให้ผู้รับบริการได้รับความสะดวก รวดเร็ว ในการใช้งานมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม (User Friendly)
ทั้งนี้ ระบบตรวจสอบถิ่นกำเนิดสินค้าแบบไร้กระดาษหรือระบบตรวจต้นทุนของสินค้าก่อนการส่งออกในกรณีที่ผู้ประกอบการต้องการขอรับสิทธิพิเศษทางภาษีภายใต้ความตกลงการค้าเสรี (FTAs) จะสามารถบันทึกคำขอตรวจคุณสมบัติด้านถิ่นกำเนิดสินค้าโดยอัตโนมัติ รวมถึงแจ้งผลการตรวจคุณสมบัติด้านถิ่นกำเนิดสินค้าให้แก่ผู้ประกอบการทราบผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ และสำหรับระบบ SMART C/O ผู้ประกอบการไม่มีความจำเป็นต้องเดินทางมารับหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (Form C/O) ที่กรมฯ อีกต่อไป เนื่องจากระบบ SMART C/O จะอนุญาตให้ผู้ประกอบการสามารถพิมพ์ Form C/O ณ สำนักงานของตนเองได้ทันที ซึ่งระบบฯ นี้ จะมีความปลอดภัยสูง เนื่องจากจะมีการส่งข้อมูล Form C/O ที่กรมฯ ออก ไปประทับรับรองการมีอยู่ของ Form C/O ณ เวลานั้น ๆ (e – Timestamping) โดยหน่วยงานกลาง ได้แก่ สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) (สพร.)
อย่างไรก็ตาม เมื่อทั้ง 2 ระบบฯ เปิดใช้งาน จะทำให้ผู้ประกอบการประหยัดค่าใช้จ่ายจากต้นทุนการเดินทางและระยะเวลาการขอรับหนังสือรับรองฯ และลดขั้นตอนกระบวนการขอรับหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าได้เฉลี่ยมากกว่าปีละ500 ล้านบาท จากการลดต้นทุนในการเดินทางและต้นทุนเวลาที่ต้องใช้ในการเดินทางมาติดต่อยังกรมฯ หรือหน่วยงานให้บริการที่ได้รับมอบหมาย และขอเน้นย้ำว่ากรมฯ จะเดินหน้าพัฒนาระบบการให้บริการโดยการนำนวัตกรรมดิจิทัลมาปรับใช้เพื่อให้ผู้ประกอบการไทยได้รับความสะดวกอย่างต่อเนื่องต่อไป .-สำนักข่าวไทย