กทม.22 พ.ค.- รถตู้โดยสารพุ่งชนท้ายรถดูดฝุ่น กทม.บนโทลล์เวย์ ก่อนลงดินแดง ทำคนขับและผู้โดยสารตาย 2 บาดเจ็บอีก 5 ตำรวจ สน.วิภาวดี เร่งหาสาเหตุ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 12.15 น. ตำรวจ สน.วิภาวดี ได้รับแจ้งเกิดอุบัติเหตุบนทางยกระดับดอนเมืองโทลล์เวย์ฝั่งขาเข้า ก่อนถึงทางลงดินแดงประมาณ 1 กิโลเมตร จึงไปตรวจสอบพบรถตู้ทะเบียน 15-8852 กทม. วิ่งระหว่างอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ-นวนคร ซึ่งเป็นรถร่วมบริษัทขนส่งมวลชน จำกัด ชนกับรถบรรทุกดูดฝุ่นของกรุงเทพมหานคร พังเสียหายทั้งสองคัน กีดขวางช่องทางจราจรทั้งหมด พบผู้เสียชีวิต 2 ราย คือนายนิพนธ์ ศรีจันทร์อิน คนขับรถตู้ และ น.ส.จุรีรัตน์ จงจิตรกลาง ผู้โดยสารนั่งด้านหน้า กระเด็นออกนอกตัวรถ ส่วนผู้บาดเจ็บอีก 5 คน ถูกนำส่งโรงพยาบาลราชวิถี และเปาโล สะพานควาย
ตำรวจเข้าจัดการจราจร โดยรถที่มุ่งหน้าฝั่งขาเข้าก่อนถึงจุดเกิดเหตุ ให้ลงบริเวณแยกสุทธิสาร ส่วนรถที่ตกค้างอยู่บนโทลล์เวย์ พยายามเปิดช่องจราจรให้รถสัญจรผ่านไปได้ 2 ช่องทาง และให้ประชาชนหลีกเลี่ยงเส้นทาง หากขึ้นยกระดับดอนเมืองโทลล์เวย์มาแล้วให้ลงตรงทางลงลาดพร้าว เจ้าหน้าที่ใช้เวลาประมาณ 40 นาที สามารถเปิดการจราจรได้ตามปกติ
ภรรยาคนขับรถตู้ซึ่งเดินทางมาที่ สน.วิภาวดี บอกว่า สามีขับรถตู้สาธารณะมา 6 ปีแล้ว สามีเป็นคนดื่มบ้างแต่ไม่เคยดื่มในเวลางาน ช่วงเย็นวานนี้ (21 พ.ค.) กลับบ้านตามปกติไม่ได้ออกไปดื่มและเข้านอนตั้งแต่หัวค่ำ ตื่นไปเข้าเวร 05.00 น. จนมาทราบข่าวจากเจ้าหน้าที่ รู้สึกตกใจและเสียใจมาก เนื่องจากสามีเป็นเสาหลักของครอบครัว
ขณะที่ตัวแทนองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ซึ่งเดินทางมาตรวจสอบเหตุการณ์ กล่าวว่า ให้ทางตำรวจตรวจสอบข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ ส่วนการเยียวยาเป็นหน้าที่ของประกันอุบัติเหตุและ พ.ร.บ.ทางรถที่จะดูแลผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต
ด้าน พ.ต.ท.ชัยวัฒน์ อินเทศ สารวัตรสืบสวน สน.วิภาวดี กล่าวว่า จากการสอบปากคำพยาน ซึ่งเป็นผู้ขับขี่รถคันอื่นทราบว่า รถตู้ขับมาด้วยความเร็วในช่องทางกลาง ก่อนจะแซงรถที่อยู่ด้านหน้าจนพุ่งชนท้ายรถดูดฝุ่น ทั้งนี้จะตรวจสอบกล้องวงจรปิดจุดเกิดเหตุเพื่อหาสาเหตุที่แน่ชัดอีกครั้ง ก่อนพิจารณาเรื่องแจ้งข้อกล่าวหา กรณีมีข้อมูลว่าผู้ได้รับบาดเจ็บที่โดยสารมากับรถตู้ ยืนยันว่าก่อนถึงจุดเกิดเหตุรถตู้ขับส่ายไปมา เนื่องจากผู้ขับขี่มีอาการหลับในจนผู้โดยสารในรถต้องปลุกคนขับ แต่ไม่ทันจึงพุ่งชนท้ายรถดูดฝุ่นนั้น ขอตรวจสอบข้อเท็จจริงอีกครั้ง.-สำนักข่าวไทย