กรุงเทพฯ 11 ก.พ. – ความผันผวนราคาพลังงานส่งผลปี 65 GPSC กำไรสุทธิ 891 ล้านบาท ลดลง 6,428 ล้านบาท หรือ 88% ส่วน TOP กำไรสุทธิ 32,668 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 159.72%โดยไตรมาส 4/2565 ธุรกิจการกลั่นปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องสอดรับท่องเที่ยวฟื้นตัว
นายบัณฑิต ธรรมประจำจิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP เปิดเผยว่าปี 2565 กลุ่มไทยออยล์มีกำไรสุทธิ 32,668 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 159.72% จากปีก่อนซึ่งรวมกำไรจากการจัดประเภทเงินลงทุนและจำหน่ายเงินลงทุนในบริษัท GPSC จำนวน 12,880 ล้านบาท (หลังหักภาษีเงินได้แล้ว)
โดย มีกำไรขั้นต้นจากการผลิตของกลุ่ม รวมผลกระทบจากสต๊อกน้ำมัน (Accounting GIM) อยู่ที่ 14.3 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และมีปริมาณวัตถุดิบที่ป้อนเข้าสู่กระบวนการผลิตของกลุ่มอยู่ที่ 297,000 บาร์เรลต่อวัน ทำให้กลุ่มไทยออยล์มีรายได้จากการขาย และ EBITDA จำนวน 505,703 ล้านบาท(เพิ่มขึ้นร้อยละ 51) และ 37,187 ล้านบาท ตามลำดับ
สำหรับไตรมาส4/65ธุรกิจการกลั่นปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาส 3/65 สอดรับกับสภาพเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มฟื้นตัว โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวที่ขยายตัวจากการผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิด-19 ทำให้ความต้องการน้ำมันดีเซลและน้ำมันอากาศยานฟื้นตัวดีขึ้น อีกทั้งตลาดสารอะโรเมติกส์ก็ปรับตัวดีขึ้นจากอุปสงค์ของกลุ่มเครื่องนุ่งห่มและบรรจุภัณฑ์ขวดน้ำดื่มที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้กลุ่มไทยออยล์มีรายได้จากการขายในช่วงไตรมาส 4/2565 ที่123,132 ล้านบาท และมีกำไรขั้นต้นจากการผลิตของกลุ่มไม่รวมผลกระทบจากสต๊อกน้ำมันอยู่ที่ 11.1 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล อย่างไรก็ตาม ความกังวลต่อเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มชะลอตัวจากการเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย รวมถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในจีน ทำให้ราคาน้ำมันดิบมีการปรับตัวลดลง ส่งผลให้กลุ่มไทยออยล์ในไตรมาส 4/2565 ขาดทุนจากสตอกน้ำมัน 9,178 ล้านบาท มีกำไรขั้นต้นจากการผลิตของกลุ่มรวมผลกระทบจากสต๊อกน้ำมันอยู่ที่ 1.5 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล และกลุ่มไทยออยล์รายงานกำไรสุทธิในช่วงไตรมาส 4/2565 ที่ 147 ล้านบาท
นายบัณฑิต กล่าวเพิ่มเติมว่า ภาพรวมธุรกิจกลุ่มไทยออยล์ในปี 2566 นี้ คาดว่าจะยังมีแนวโน้มที่ดีขึ้นกว่าช่วงก่อนการแพร่ระบาดโควิด-19 เนื่องจากเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มเติบโตและประเทศจีนมีการยกเลิกมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจก็ยังคงมีความไม่แน่นอนเนื่องจากการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยและคงอัตราดอกเบี้ยในระดับสูง เพื่อควบคุมสภาวะเงินเฟ้อ
ไทยออยล์ยังคงเดินหน้าเสริมความแข็งแกร่งของธุรกิจหลัก รวมถึงการต่อยอดไปยังธุรกิจปิโตรเคมีและผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง ขยายตลาดและกระจายผลิตภัณฑ์ไปสู่ต่างประเทศในระดับภูมิภาค และ แสวงหาโอกาสในธุรกิจใหม่ (New S-Curve) เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการใช้พลังงานในอนาคต ก้าวไปสู่เป้าหมายการเติบโตที่ยั่งยืน
ด้านบริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC แกนนำนวัตกรรมธุรกิจไฟฟ้ากลุ่ม ปตท. แจ้งผลการดำเนินงานปี 2565 มีรายได้รวมทฃ 123,685 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 65% เมื่อเทียบกับปี 2564 กำไรสุทธิ 891 ล้านบาท ลดลง 6,428 ล้านบาท หรือ 88% ปัจจัยหลักมาจากกำไรขั้นต้นของโรงไฟฟ้าผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) ลดลง 8,770 ล้านบาท เนื่องจากราคาก๊าซธรรมชาติและถ่านหินที่ปรับตัวสูงขึ้น ทำให้ margin จากการขายไฟฟ้าให้กับลูกค้าอุตสาหกรรมลดลง ในขณะที่อัตราค่าไฟฟ้าผันแปร (Ft) ยังไม่สามารถปรับตัวได้ทันราคาต้นทุนเชื้อเพลิง
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ได้รับปัจจัยบวกจากกำไรขั้นต้นของโรงไฟฟ้าผู้ผลิตไฟฟ้ารายใหญ่ (IPP) เพิ่มขึ้น 1,200 ล้านบาทจากการเดินเครื่องผลิตของโรงไฟฟ้าศรีราชา และโกลว์ไอพีพี ที่ใช้เชื้อเพลิงน้ำมันดีเซลแทนก๊าซธรรมชาติ ทำให้มี margin จากการขายไฟฟ้าเพิ่มขึ้น ประกอบกับโรงไฟฟ้าศรีราชามีปริมาณการขายไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นสอดคล้องกับแผนการเรียกรับไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ขณะเดียวกันยังได้รับส่วนแบ่งกำไรของโรงไฟฟ้าพลังน้ำไซยะบุรี เพิ่มขึ้น 330 ล้านบาท เนื่องจากมีปริมาณน้ำในการผลิตกระแสไฟฟ้ามากกว่าปี 2564
บอร์ด GPSC อนุมัติจ่ายเงินปันผลจากผลการดำเนินงานครึ่งปีหลังอีก 0.30 บาทต่อหุ้น ส่วนแผนปี 2566 เดินหน้าแสวงหาโอกาสจับมือพันธมิตร พัฒนาพลังงานสะอาด ตามกลยุทธ์เพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียน 50% .-สำนักข่าวไทย