31 ม.ค. – นายกสมาคมมัคคุเทศก์ฯ เตรียมยื่นหนังสือผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติปราบปรามไกด์เถื่อนต่างชาติ พร้อมตรวจสอบไกด์นำเที่ยวแนะนำดาราสาวไต้หวันยัดเงินตำรวจ หวั่นกระทบภาพลักษณ์มัคคุเทศก์-การท่องเที่ยวไทย
นายวิโรจน์ สิตประเสริฐนันท์ นายกสมาคมมัคคุเทศก์อาชีพแห่งประเทศไทย พร้อมกลุ่มมัคคุเทศก์ จะเข้ายื่นหนังสือถึง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติให้ช่วยดำเนินการปราบปรามไกด์เถื่อนต่างชาติ ในสถานการณ์ที่นักท่องเที่ยวเริ่มกลับมาเที่ยวเมืองไทย เพื่อยับยั้งก่อนที่จะลุกลามกลับมาอีกครั้ว โดยอ้างอิงจากโพสต์ของเพจเฟซบุ๊ก “หนีห่าวไต้หวัน ฉันมาแล้ว” เมื่อวันที่ 26 มกราคมที่ผ่านมา ได้โพสต์บทความกรณีนักท่องเที่ยวสาวชาวไต้หวันอ้างว่าถูกด่านตำรวจรีดไถเป็นเงินจำนวน 27,000 บาท ในบทความดังกล่าวได้มีข้อความบางตอนพาดพิงถึงไกด์ได้ ไปแนะนำให้ยัดเงินติดสินบนให้กลับตำรวจจำนวน 5,000 บาท หากเจอกรณีดังกล่าว หรือให้มีการต่อรองราคา
ซึ่งส่งผลต่อภาพลักษณ์ของมัคคุเทศก์ไทยเป็นอย่างมาก ในการให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องกับนักท่องเที่ยว จึงอยากให้ตำรวจช่วยดำเนินการตรวจสอบเรื่องที่เกิดขึ้นว่าเป็นไกด์ที่ถูกกฎหมายหรือไม่ โดยสอบถามไปยังกลุ่มนักท่องสาวชาวไต้หวันว่าไกด์คนดังกล่าวเป็นคนไทยหรือชาวต่างชาติ หากเป็นชาวต่างชาติแอบแฝงเข้ามาทำอาชีพโดยผิดกฎหมายก็ให้ดำเนินตามกฎหมาย แต่หากเป็นไกด์ไทยก็จะทำเรื่องให้มีการเพิกถอนใบอนุญาตเพราะว่าทำผิดจรรยาบรรมัคคุเทศก์ และทำลายภาพลักษณ์การท่องเที่ยวของประเทศไทยเป็นอย่างมาก เพื่อให้นักท่องเที่ยวเกิดความเชื่อมั่นและใช้มัคคุเทศก์ที่ถูกกฎหมายในอนาคต
ทั้งนี้ จากปัญหาไกด์เถื่อนมีมานานแล้วตั้งแต่ในช่วงของทัวร์ศูนย์เหรียญ แต่ในช่วงของการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้ไกด์เถื่อนต่างชาติลดน้อยลง แต่กลัวการเปิดให้นักท่องเที่ยวจีนในรูปแบบของกรุ๊ปทัวร์ในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ที่จะถึงนี้ จะทำให้ไกด์เถื่อนต่างชาติกลับมามีเพิ่มมากขึ้นอีกครั้ง
ส่วนผลกระทบจากกระแสข่าวที่ตำรวจไปรีดเงินนักท่องเที่ยวสาวชาวไต้หวัน ยอมรับว่าเป็นกระแสข่าวในด้านลบ แต่เชื่อมั่นว่าตำรวจจะดำเนินการเอาผิดตามขั้นตอนกฎหมายได้ อีกทั้งเชื่อว่าทุกองค์กรมีทั้งคนดีและไม่ดี ส่วนกระแสข่าวที่เกิดขึ้น เชื่อไม่ส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวไทยมากนัก เพราะยังมีข่าวมุมที่ดี ทำให้ประเทศไทยเป็นเมืองท่องเที่ยวที่เป็นที่สนใจของนักท่องเที่ยวทั่วโลก ซึ่งจากข้อมูลพบว่าภายในปีนี้คาดจะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาในประเทศมากกว่า 20 ล้านคน. -สำนักข่าวไทย
