ลอนดอน 25 มี.ค.- ตำรวจอังกฤษเผยแพร่ภาพถ่ายหน้าตรงภาพแรกของนายคาลิด มาซูด ผู้ขับรถพุ่งชนคนบนสะพานเวสต์มินสเตอร์ และแทงตำรวจเสียชีวิตในเหตุก่อการร้าย เมื่อวันพุธที่ผ่านมา
ภาพถ่ายหน้าตรงเป็นภาพชายโกนศีรษะและไว้หนวดเครา นายมาซูด วัย 52 ปี มีประวัติก่ออาชญากรรมรุนแรง แต่ไม่เคยถูกตัดสินว่ามีความผิดข้อหาก่อการร้าย ใช้ชื่อหลายชื่อ เช่น เอเดรียน เอมส์ หรือ เอเดรียน รัสเซลส์ เอเจโอ เป็นชาวอังกฤษ เกิดในครอบครัวชนชั้นกลางในเมืองเคนต์ ทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศ เพื่อนสมัยเรียนบอกว่า เขาเป็นดาวเด่นของโรงเรียน เพราะเก่งทั้งการเรียนและการกีฬา แต่หลังจากนั้นกลับกลายเป็นคนติดสุราและติดยา ตามด้วยการก่ออาชญากรรม เคยถูกตัดสินว่ามีความผิดข้อหาทำร้ายร่างกายและครอบครองอาวุธช่วงปี 2526-2546 ประวัติเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2543 ระบุว่า เขาถูกตัดสินจำคุก 2 ปี ข้อหากรีดหน้าเจ้าของร้านกาแฟในเมืองทางตอนใต้ที่เขาอาศัยอยู่กับครอบครัว
หนังสือพิมพ์เดอะซันแนวหัวสี รายงานว่า นายมาซูดแต่งงานกับสตรีมุสลิมในปี 2547 และย้ายไปซาอุดีอาระเบียในปีถัดมา ประกอบอาชีพเป็นครูสอนภาษาอังกฤษ ก่อนย้ายกลับในปี 2552 ทางการอังกฤษไม่ยืนยันเรื่องนี้ ขณะที่สถานทูตซาอุดีอาระเบียในกรุงลอนดอน แถลงเมื่อวันศุกร์ว่า หน่วยงานความมั่นคงซาอุดีอาระเบียไม่มีประวัติของเขา ตำรวจอังกฤษเผยว่า กำลังสืบค้นประวัติของเขาอยู่ และขอให้ผู้รู้จักเขามาช่วยให้ข้อมูลกับทางการด้วย เพื่อสืบหาแรงจูงใจ การเตรียมการ และผู้คบคิด จนถึงขณะนี้ตำรวจอังกฤษจับกุมผู้ต้องสงสัยพัวพันกับการเตรียมการก่อการร้ายได้ทั้งหมด 11 คน อายุตั้งแต่ 21-58 ปี จากการตรวจค้นสถานที่ต่างๆ ทั้งหมด 21 จุด ในกรุงลอนดอน เมืองเบอร์มิงแฮม และเมืองแมนเชสเตอร์ ผู้ต้องสงสัยสตรีทั้ง 4 คน และผู้ต้องสงสัยชาย 5 คน ได้รับการปล่อยตัวแล้ว เหลือเพียง 2 คน ที่ยังถูกควบคุมตัวอยู่ เป็นชายอายุ 27 ปี และ 35 ปี
การที่นายมาซูดขับรถพุ่งชนคนบนสะพานเวสต์มินสเตอร์ ช่วงบ่ายวันพุธที่ผ่านมา ทำให้มีผู้เดินเท้าเสียชีวิต 3 คน บาดเจ็บอย่างน้อย 50 คน เป็นคนจาก 12 สัญชาติ ก่อนพุ่งชนรั้วนอกรัฐสภาแล้ววิ่งเข้าไปแทงตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่เสียชีวิต กลุ่มรัฐอิสลาม (ไอเอส)อ้างโดยไม่ระบุชื่อนายมาซูดว่า สมาชิกกลุ่มเป็นผู้ก่อเหตุ เป็นการก่อการร้ายครั้งร้ายแรงที่สุด นับตั้งแต่คนร้าย 4 คน ระเบิดฆ่าตัวตายบนรถสาธารณะในกรุงลอนดอน เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2548 ครั้งนั้นมีผู้เสียชีวิต 52 คน ไม่รวมคนร้าย.-สำนักข่าวไทย