วอชิงตัน 21 ก.ย.- สหรัฐประกาศจะเสริมกำลังทหารในตะวันออกกลาง หลังเกิดเหตุโดรนโจมตีโรงกลั่นน้ำมันในซาอุดีอาระเบียที่สหรัฐโทษว่าเป็นฝีมืออิหร่าน และหลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ประกาศคว่ำบาตรอิหร่านครั้งใหม่
นายมาร์ก เอสเปอร์ รัฐมนตรีกลาโหมกล่าวเมื่อวานนี้ตามเวลาสหรัฐว่า การโจมตีโรงกลั่นน้ำมันซาอุดีอาระเบีย และการที่อิหร่านยิงโดรนสอดแนมของสหรัฐเมื่อเดือนมิถุนายนแสดงให้เห็นว่าอิหร่านกำลังรุกรานรุนแรงยิ่งขึ้น ซาอุดีอาระเบียและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์หรือยูเออี (UAE) ได้ขอให้สหรัฐเสริมกำลังทหารในตะวันออกกลาง และประธานาธิบดีได้อนุมัติแล้ว โดยจะเป็นกำลังพลเชิงป้องกัน เน้นเรื่องการป้องกันอากาศยานและขีปนาวุธเป็นหลัก ขณะที่ พล.อ.โจ ดันฟอร์ด ประธานคณะเสนาธิการทหารร่วมกล่าวว่า จำนวนกำลังพลเสริมคงไม่ถึงขั้นหลักพันนาย
ประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวก่อนหน้านั้นในวันเดียวกันตำหนิทั้งกลุ่มที่วิจารณ์เขาว่าจะจุดชนวนสงครามและกลุ่มสายเหยี่ยวที่ต้องการให้ใช้การตอบโต้ทางทหารว่า สิ่งที่ง่ายที่สุดที่เขาจะทำคือ จัดการกับสิ่งสำคัญ 15 อย่างในอิหร่าน มาตรการคว่ำบาตรครั้งใหม่ที่เขาจะใช้กับอิหร่านจะรุนแรงที่สุดเท่าที่เคยมีมา แต่ไม่ใช่การโจมตีทางทหาร เพราะผู้แข็งแกร่งจะต้องถึงความอดกลั้นด้วย
กระทรวงคลังสหรัฐดำเนินมาตรการลงโทษครั้งใหม่กับธนาคารกลางอิหร่านเมื่อวานนี้ด้วยเรื่องก่อการร้าย โดยอ้างว่าธนาคารกลางอิหร่านให้เงินจำนวนมหาศาลแก่สองกลุ่มที่ถูกสหรัฐขึ้นบัญชีดำ หลังจากเจ้าหน้าที่สหรัฐระบุว่า อิหร่านโจมตีโรงกลั่นน้ำมันสองแห่งในซาอุดีอาระเบียเมื่อวันเสาร์ที่แล้วที่ทำให้ราคาน้ำมันทะยานขึ้นถึงร้อยละ 15 ในวันเดียว ปัจจุบันสหรัฐมีมาตรการคว่ำบาตรอิหร่านหลากหลายอย่างอยู่แล้ว หนึ่งในนั้นคือการดำเนินคดีกับผู้ที่ข้องเกี่ยวกับธนาคารกลางอิหร่าน เพราะอิหร่านดำเนินโครงการนิวเคลียร์.-สำนักข่าวไทย