กรุงเทพฯ 1 ส.ค.- ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ถอนหายใจด้วยความโล่งใจในวันนี้ หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐประกาศอัตราภาษีศุลกากรใหม่ที่จะบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคมนี้
อัตราภาษีใหม่ตามที่นายทรัมป์ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคมครอบคลุมถึงประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นภูมิภาคที่เศรษฐกิจพึ่งพาการส่งออกอย่างยิ่ง และหลายประเทศเศรษฐกิจเฟื่องฟูขึ้นจากการย้ายห่วงโซ่อุปทานการผลิตมาจากจีน เศรษฐกิจของภูมิภาคนี้มีมูลค่ารวมกันไม่ต่ำกว่า 3.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ไม่ต่ำกว่า 124.8 ล้านล้านบาท)
ภาษีใหม่กำหนดให้ประเทศไทย มาเลเซีย และกัมพูชา ต้องเสียภาษีศุลกากรสินค้าส่งออกไปสหรัฐในอัตราร้อยละ 19 เท่ากับที่อินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ถูกกำหนดจากสหรัฐไปก่อนหน้านั้น ส่วนเวียดนามที่ได้อัตราภาษีใหม่เป็นประเทศแรกในภูมิภาคนี้เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคมต้องเสียในอัตราร้อยละ 20 ลาวและเมียนมาได้อัตราสูงถึงร้อยละ 40 แม้ว่าลดลงจากเดิม แต่ก็ถือว่าสูงเป็นอันดับ 2 รองจากซีเรียที่ถูกเก็บภาษีสูงที่สุดที่ร้อยละ 41 บรูไนเสียในอัตราร้อยละ 25 ขณะที่สิงคโปร์และติมอร์เลสเตซึ่งได้เป็นสมาชิกอาเซียนในหลักการเสียตามอัตราพื้นฐานที่ร้อยละ 10

กระทรวงพาณิชย์มาเลเซียแถลงว่า อัตราภาษีใหม่ที่ลดลงจากร้อยละ 25 ถือเป็นผลลัพธ์ที่ดี โดยที่มาเลเซียไม่ต้องยอมอ่อนข้อสินค้า “ห้ามล้ำเส้น” ของประเทศ ขณะที่นายพิชัย ชุณหวชิร รัฐมนตรีคลังของไทยกล่าวว่า การที่ไทยได้ภาษีลดลงจากร้อยละ 36 ช่วยให้ประเทศสามารถรักษาความสามารถในการแข่งขันบนเวทีโลก ช่วยเพิ่มความมั่นใจให้นักลงทุน และเปิดประตูไปสู่การขยายตัวทางเศรษฐกิจ ทำให้ไทยมีรายได้เพิ่มขึ้นและมีโอกาสใหม่ ๆ
ด้านนายซุน จันทอล รองนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะเจรจาการค้ากับสหรัฐของกัมพูชาเปิดเผยว่า หากสหรัฐคงอัตราภาษีกัมพูชาที่ร้อยละ 49 หรือ 36 ตามที่ประกาศครั้งแรกและครั้งที่ 2 เขาคิดว่า อุตสาหกรรมสิ่งทอของกัมพูชาจะพังทลาย รอยเตอร์รายงานเสริมว่า อุตสาหกรรมสิ่งทอเป็นกลไกหลักที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจกัมพูชา และสร้างงานราว 1 ล้านตำแหน่ง
นายแอนดรู เฉิง จากสถาบันเอเชียโกลบอลของมหาวิทยาลัยฮ่องกงให้ความเห็นว่า ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ควรโล่งใจที่ได้อัตราภาษีใกล้เคียงกัน เพราะช่วยขจัดความไม่แน่นอนทางนโยบายไปได้ระยะหนึ่ง เขามองว่า การประกาศภาษีศุลกากรเป็นศิลปะชั้นสูงของนายทรัมป์ในการทำข้อตกลง คือ ใช้การกระตุ้นให้ตื่นเต้นและการข่มขู่มาก ๆ และเมื่อทำข้อตกลงสำเร็จ อีกฝ่ายจะคิดว่าได้ข้อตกลงที่สมเหตุสมผล.-814.-สำนักข่าวไทย