ภาคเอกชนเชื่อหากไบเดน ชนะเลือกตั้งจะส่งผลดีต่อ ศก.ไทยมากกว่า


กรุงเทพฯ 4 พ.ย. – กกร.เชื่อหาก โจ ไบเดน ชนะเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ จะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจไทย แต่ถ้าโดนัลด์ ทรัมป์ชนะ ทุกอย่างจะไม่ต่างไปจากตอนนี้ แนะรัฐบาลเร่งเดินหน้าเจรจาข้อตกลงการค้าพหุภาคี ทั้ง FTA Thai-UK, FTA Thai-EU, CPTPP


นายกลินท์ สารสิน ประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ตามที่การหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ กำลังเข้มข้นและล่าสุด นายโจเซฟ โรบิเนตต์ ไบเดิน จูเนียร์ หรือ “โจ ไบเดน” จากพรรคเดโมแครต กำลังมีคะแนนนำหน้า นายโดนัลด์ จอห์น ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ จากพรรคริพับลิกัน และยังไม่แน่ใจว่าที่สุดแล้วใครจะชนะนั้น

ในการประชุม คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน หรือ กกร. วันนี้ (4 พ.ย.) ได้มีการหารือกันถึงประเด็นผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐที่จะออกมาต่อเศรษฐกิจไทย ซึ่งในเบื้องต้น มองว่า ผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ จะส่งผลต่อนโยบายการค้าและการลงทุนที่เปลี่ยนไปซึ่งมีผลทั้งบวกและลบ โดยหากนายโจ ไบเดน ชนะการเลือกตั้งประธานธิบดีสหรัฐฯ และพรรคเดโมแครตสามารถครองเสียงข้างมากทั้งในสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา อาจจะส่งผลให้นโยบายการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐ กับคู่ค้ามีแนวโน้มกลับมาผ่อนคลายมากขึ้น


การค้าจะเปิดเสรีมากขึ้น การเข้าสู่กติกาโลกจะมีเพิ่มมากขึ้น รวมถึงการดูแลสิ่งแวดล้อมตามสากลจะมีมากขึ้น แต่ถ้าหาก นายโดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้ง ทุกอย่างก็จะเหมือนเดิมทั้งเรื่องการกีดกันทางการค้า รวมถึงนโยบายต่างประเทศแบบ ‘อเมริกาเฟิร์สต์’ จะยังคงมีต่อไป ซึ่งจะต้องติดตามผลการเลือกตั้งท้ายสุดที่จะออกมาอีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังเป็นประเทศที่เป็น “สปอร์ตไลท์” ของสหรัฐอยู่ไม่ว่าใครจะชนะการเลือกตั้ง เนื่องจากประเทศไทยถือเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สหรัฐสามารถเข้ามาทำธุรกิจและส่งสินค้าจีนก็เป็นไปได้ แต่จะให้ทำการติดต่อกับจีนโดยตรงคงไม่สะดวก และไทยก็เป็นประเทศที่ป้อนสินค้าต่าง ๆ รายใหญ่อยู่แล้ว ทั้งรถยนต์ อาหาร และสินค้าอื่น ๆ ดังนั้นสหรัฐต้องการจุดนี้ด้วย ส่วนเรื่องการที่สหรัฐระบุว่า จะเข้ามาทำธุรกิจในไทยมากขึ้น แต่ตัดสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรไทยหรือ จีเอสพี ออกไปนั้น ดังนั้นจะต้องพัฒนาสินค้าให้ดีที่สุด แม้ตลาดสหรัฐเป็นตลาดใหญ่ที่ยังต้องส่งสินค้าไปขาย แต่เสี่ยงเกินไปที่จะหวังพึ่งตลาดสหรัฐแต่เพียงอย่างเดียว และการค้าขายใช้เงินสกุลยูโร จะปลอดภัยมากกว่า

“โดยส่วนตัวแล้ว ผมคิดว่าหาก “โจ ไบเดน” ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ประเทศไทยจะได้รับผลบวกมากกว่า” นายกลินท์กล่าว


ขณะนี้ประเทศไทยจะต้องผลักดันข้อตกลงพหุภาคีให้ออกมาให้เร็วที่สุด ไม่ว่าจะเป็น เรื่องการเดินหน้าให้ประเทศไทยเข้าร่วมเป็นภาคีความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (CPTPP) รวมถึงข้อตกลงเขตการค้าเสรีไทยสหภาพยุโรป และข้อตกลงเขตการค้าเสรีไทยกับสหราชอาณาจักร ซึ่งในการหารือ กกร. ในวันนี้ ก็เน้นใน 3 ข้อตกลงทางการค้านี้ เพราะมีผลมากต่อประเทศไทย

“กกร.เห็นว่าเขตการค้าเสรี หรือ FTA เป็นเรื่องที่มีความสำคัญต่อไทยเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะFTA ในกรอกใหม่และปัจจุบันยังอยู่ในการเตรียมการ เช่น FTA Thai-UK, FTA Thai-EU, CPTPP เป็นต้น ซึ่ง กกร.ได้พิจารณาแล้วว่ามีหลายข้อบทที่เกี่ยวเนื่องกันใน FTA เกือบทุกกรอบ ทั้งในระดับพหุภาคีและทวิภาคี ได้แก่ UPOV (การคุ้มครองพันธุ์พืชใหม่), CL (Compulsory Licensing), แรงงาน และการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ โดย กกร.จะเสนอให้รัฐบาลจัดตั้งคณะทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐที่มีกระทรวงที่เกี่ยวข้องต่างๆ กับ กกร. เพื่อให้มีการเตรียมตัวครอบคุมในทุกภาคส่วน โดยอยากให้มีการจัดตั้งโดยเร็วเพื่อไม่ให้ไทยเสียโอกาสในเวทีการค้าโลก” นายกลินท์ กล่าว

นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ผู้สมัครแข่งขันเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ทั้ง “โจ ไบเดน” จากพรรคเดโมแครต และ นายดอนัลด์ จอห์น ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ จากพรรคริพับลิกัน ต่างคำนึงถึงผลประโยชน์สหรัฐเป็นหลักอยู่แล้ว เพียงแต่วิธีการต่างกันเท่านั้น โดย “โจ ไบเดน” มีสโลแกน Buy American เน้นให้ซื้อสินค้าทุกหมวดจากบริษัทของอเมริกาเป็นหลัก อย่างไรก็ตาม หาก “โจ ไบเดน” ได้เชื่อว่า จะมีความยืดหยุ่นทางการค้าเสรีมากกว่า โดนัลด์ จอห์น ทรัมป์ จะไปคล้ายกับช่วงที่นายบารัค โอบามา ยังคงเป็นประธานาธิบดีสหรัฐ และจะให้ความสำคัญเรื่องสิทธิมนุษยชน และสิ่งแวดล้อม จะทำให้ภาคอุตสาหกรรมจะต้องเข้มงวดในเรื่องพวกนี้ สงครามการค้าจะลดลงบทบาทลง จะมีการเจรจากับทางประเทศจีนมากขึ้น และมีโอกาสที่จะกลับเข้ามาอยู่ในข้อตกลง CPTPP ประเทศไทยจะต้องเตรียมพร้อมลดต้นทุนและขยายตลาดออกไปมากกว่าสหรัฐ เพราะไม่ว่า ใครจะเป็นประธานาธิบดีสหรัฐก็จะเน้นรักษาผลประโยชน์ของสหรัฐมากขึ้น

“ตอนนี้ มองว่า “โจ ไบเดน” หากชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ จะเป็นผลบวกต่อประเทศไทยมากกว่าแต่ในระยะสั้น แต่หลาย ๆ อย่าง ตาม สโลแกน Buy American จะมีผลกระทบอย่างไร ส่วน “ดอนัลด์ จอห์น ทรัมป์” เห็นถึงผลกระทบเศรษฐกิจทั่วโลก ไม่กระทบเฉพาะประเทศเท่านั้น ทำให้การค้าทั่วโลกมีผลกระทบ จากการที่ ทรัมป์ดึงเศรษฐกิจไปที่สหรัฐทั้งหมด” นายสุพันธุ์กล่าว

นายสุพันธุ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ค่าเงินที่แข็งค่ากดดันสินค้าไทยแล้ว 3-5% หากค่าเงินบาทอ่อนค่ามาอยู่ในระดับประมาณ 32 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ก็จะช่วยเหมือนประเทศไทยได้จีเอสพีสหรัฐกลับมา เพราะเงินบาทอ่อนค่า จะบรรเทาผลกระทบทำให้สินค้าไทยสามารถที่จะแข่งขันในตลาดโลกและตลาดอื่น ๆ ได้ดีขึ้น

สำหรับผลการประชุม กกร. ในวันนี้ ยังพิจารณาเรื่องต่าง ๆ ด้วย เช่น ด้านเศรษฐกิจในภาพรวม กกร.มองว่า เศรษฐกิจไทยปลายไตรมาสที่ 3 ได้อานิสงส์จากการฟื้นตัวของภาคอุตสาหกรรมในต่างประเทศ การส่งออกในเดือนกันยายนปรับตัวดีขึ้นมาก หดตัวเพียง 3.9% เทียบกับเดือนสิงหาคมที่หดตัว 7.9% ภาคเกษตรและภาคอุตสาหกรรมดีขึ้น อาทิ ชิ้นส่วนรถยนต์ คอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ และเม็ดพลาสติก ฟื้นตัวได้ดีสอดคล้องกับทิศทางของภาคอุตสาหกรรมในต่างประเทศ ส่วนการใช้จ่ายในประเทศฟื้นตัวโดยมีมาตรการของภาครัฐสนับสนุน สำหรับปีหน้าอาจจะมีปัญหาเรื่องตู้คอนเทนเนอร์ขาดแคลนทำให้ค่าระวางเรือที่มีแนวโน้มสูงขึ้น โดย กกร.นำคณะไปหารือกับกระทรวงคมนาคมเพื่อวางแผนรับมือในอนาคต

ด้านการแพร่ระบาดระลอกสองของโควิด-19 ที่รุนแรงในหลายประเทศเป็นความเสี่ยงหลักในช่วงที่เหลือของปี 2563 ประเทศหลักในสหภาพยุโรปประกาศล็อกดาวน์ประมาณ 1 เดือน กกร.ยังมองว่า ในช่วงเดือนพ.ย.นี้ เพื่อรับมือกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งแม้การล็อกดาวน์ในครั้งนี้จะเน้นจำกัดกิจกรรมของผู้บริโภค ไม่ได้ให้หยุดภาคการผลิต แต่ก็คาดว่าจะทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโดยรวมแผ่วลง ในเบื้องต้นคาดว่าจะกระทบ GDP ไทยในไตรมาสที่ 4 ราว 0.37-0.5% เนื่องจากคาดว่าจะมีผลกระทบต่อความต้องการสินค้าส่งออก

หากโควิด-19 ไม่เกิดการระบาดระลอกใหม่ในประเทศไทย หรือสามารถควบคุมโรคให้อยู่ในวงจำกัดได้ กอปรกับเม็ดเงินจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมในช่วงที่เหลือของปี เช่น มาตรการคนละครึ่ง และมาตรการช้อปดีมีคืน เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ที่ประชุม กกร. มองว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจในช่วงไตรมาส 4 น่าจะฟื้นตัวได้ต่อไป

สำหรับทั้งปี 2563 กกร. คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยจะหดตัวในกรอบ -9.0% ถึง -7.0% ขณะที่คาดว่าการส่งออกจะหดตัวในกรอบ -10.0% ถึง -8.0% ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปคาดว่าอยู่ในกรอบ -1.5% ถึง -1.0%

ด้านแผนการช่วยเหลือผู้ประกอบการในภาคธุรกิจโรงแรมที่มีข้อเสนอของภาคเอกชนได้เสนอไปยังภาครัฐก่อนหน้านี้ เรื่องการตั้งกองทุนเพื่อซื้อโรงแรมที่ยังมีศักยภาพตามความเหมาะสม โดย กกร.ได้มีการตั้งคณะทำงานเพื่อศึกษาเรื่องดังกล่าวโดยละเอียด

จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ส่งผลให้รัฐบาลไทยจำเป็นต้องออกมาตรการปิดเมืองปิดประเทศหรือมาตรการล็อกดาวน์ ทำให้เกิดผลกระทบโดยตรงต่อการเดินทางของนักธุรกิจชาวต่างชาติ รวมทั้งวิกฤตินี้ ยังสะท้อนถึงปัญหาวีซ่าและใบอนุญาตทำงานของกลุ่มบุคคลดังกล่าวอีกด้วย ซึ่งรัฐบาลไทยได้แก้ไขปัญหาบางส่วนเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่นายจ้างและกลุ่มบุคคลดังกล่าวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อาทิ การลดทอนเอกสารและลดขั้นตอนการดำเนินการ ตามประกาศกรมการจัดหางาน ลงนาม ณ วันที่ 30 กันยายน 2563 แต่ยังไม่เพียงพอ

ดั้งนั้น กกร.จะส่งข้อเสนอเพิ่มเติมไปยังสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เพื่อแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับวีซ่าและใบอนุญาตทำงานของนักธุรกิจชาวต่างชาติ ดังนี้

1. เสนอให้สามารถยื่นขอเปลี่ยนประเภทวีซ่าจาก Non-Immigrant O Visa เป็น Non-Immigrant B Visa ภายในประเทศไทยได้ เนื่องจากชาวต่างด้าวจำเป็นต้องเดินทางกลับไปยังประเทศต้นทางของตนเพื่อเปลี่ยนประเภทวีซ่าดังกล่าว

2. เสนอให้แรงงานต่างด้าวทักษะสูงสามารถอยู่ในประเทศไทยต่อได้เป็นระยะเวลา 3 เดือน หลังจากที่ใบอนุญาตทำงานหมดอายุหรือถูกยกเลิกไป เพื่อหางานใหม่

3. เสนอให้ยกเว้นการรายงานตัวทุก 90 วันแก่แรงงานต่างด้าวทักษะสูง โดยให้แจ้งเฉพาะกรณีที่มีการย้ายที่อยู่ถาวร

นอกจากนี้ กกร. ยังขอให้ภาครัฐเร่งรัดการจ่ายเงินการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐทุกโครงการภายใน 30 วัน หลังจากการตรวจรับเรียบร้อยเพื่อช่วยในการเสริมสภาพคล่องทางการเงินภาคเอกชน .-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

เหล้าเถื่อนลาว

เสียชีวิตรายที่ 6 คลัสเตอร์เหล้าเถื่อนในลาว

คลัสเตอร์เหล้าเถื่อนในลาว มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเสียชีวิตเพิ่มรายที่ 6 เป็นหญิงชาวออสเตรเลีย เสียชีวิตขณะรักษาตัวในไทย

ย้ายเจ้ากรมยุทธศึกษา ทบ.

ย้ายเจ้ากรมยุทธศึกษาทหารบก ช่วยปฏิบัติราชการที่กองบัญชาการกองทัพบก หลังถูกร้องทำร้ายร่างกายผู้ใต้บังคับบัญชา พร้อมช่วยเจ้าทุกข์ย้ายหน่วยตามร้องขอ

ไฟไหม้โรงงานพัดลม เผาวอดเสียหายกว่า 50 ล้าน

ไฟไหม้โรงงานผลิตพัดลมรายใหญ่ จ.สมุทรสาคร ระดมรถดับเพลิงระงับเหตุ กว่า 5 ชม. จึงควบคุมไว้ได้ในวงจำกัด เบื้องต้นเสียหายกว่า 50 ล้านบาท

ข่าวแนะนำ

ศึกชิงนายก อบจ.สุรินทร์ “ธัญพร มุ่งเจริญพร” เข้าป้าย

ศึกชิงนายก อบจ.สุรินทร์ ลุ้นกันจนนาทีสุดท้าย “ธัญพร มุ่งเจริญพร” พลิกชนะ “พรชัย มุ่งเจริญพร” แชมป์เก่าแบบขาดลอย คว้าเก้าอี้มาครอง นั่งนายก อบจ.หญิงคนแรกของจังหวัด

เลือกตั้งนายก อบจ.อุดรธานี ครึ่งวันเช้าคึกคัก

ภาพรวมการใช้สิทธิเลือกตั้งนายก อบจ.อุดรธานี ครึ่งวันเช้าค่อนข้างคึกคัก มีประชาชนทยอยใช้สิทธิต่อเนื่อง ยังไม่มีรายงานการกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง

ปชช.ตื่นตัวใช้สิทธิเลือกตั้งนายก อบจ.นครฯ ท่ามกลางสายฝน

ชาวนครศรีธรรมราช ตื่นตัวออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งนายก อบจ. ท่ามกลางสายฝน กกต.เผยภาพรวมครึ่งวันเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ยังไม่มีรายงานการทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง

ช้างป่ายกโขลงประชิดหมู่บ้าน ไล่ระทึกทั้งคืน

ไล่ระทึกกันทั้งคืน ช้างป่ายกโขลงบุกประชิดหมู่บ้านตลิ่งชัน อ.ครบุรี จ.นครราชสีมา ออกหากินผลผลิตทางการเกษตรของชาวบ้าน