ศาลรัฐธรรมนูญ 17 ม.ค.-ศาลรธน.มีมติเสียงข้างมาก ฟัน “ศักดิ์สยาม” พ้น รัฐมนตรี ชี้พบพิรุธหลายประเด็น ให้นอมินีถือหุ้นหจก.บุรีเจริญแทน
ศาลรัฐธรรมนูญอ่านคำวินิจฉัยความเป็นรัฐมนตรีของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กรณีประธานสภาผู้แทนราษฎรส่งความเห็นของสมาชิกพรรคฝ่ายค้านในขณะนั้น ขอให้วินิจฉัยว่าความเป็นรัฐมนตรีของนายศักดิ์สยาม สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 (5) ประกอบมาตรา 187 หรือไม่ จากเหตุยังเชื่อได้ว่าคงไว้ซึ่งหุ้นส่วนและเป็นผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนจำกัดบุรีเจริญคอนสตรัคชชั่น โดยศาลรัฐธรรมนูญมีมติเสียงข้างมาก 7 ต่อ 1 วินิจฉัยว่า ความเป็นรัฐมนตรีของนายศักดิ์สยาม สิ้นสุดลงเฉพาะตัว ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรค 1 (5 ) นับตั้งแต่วันที่ 3 มีนาคม 2566 ที่ศาลมีคำสั่งให้ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ ตามมาตรา 82 วรรค 2
ศาลวินิจฉัยแล้วเห็นว่า นายศักดิ์สยามยังคงไว้ซึ่งหุ้นส่วน และยังคงเป็นผู้ถือหุ้น และเจ้าของห้างหุ้นส่วนจำกัด บุรีเจริญคอนสตรัคชั่นอย่างแท้จริง โดยพบข้อพิรุธว่านายศุภวัฒน์ เกษมสุข บริจาคเงินส่วนตัวเป็นทรัพย์สินประเภทงานวิจัย มูลค่า 2,770,000 บาท ในปี 2562 ในนามห้างหุ้นส่วนจำกัด บุรีเจริญคอนสตรัคชั่น จำนวน 4,800,000 บาท ปีเดียวกัน และจำนวน 6 ล้านบาท ในปี 2565 ซึ่งเป็นช่วงระยะเวลาหลังจากที่นายศักดิ์สยาม โอนหุ้นห้างหุ้นส่วนจำกัดบุรีเจริญคอนสตรัคชั่น ให้กับนายศุภวัฒน์ในปี 2561 และไม่ปรากฏว่าช่วงเวลาก่อนการโอนหุ้น นายศุภวัฒน์และห้างหุ้นส่วนจำกัดบุรีเจริญ คอนสตรัคชั่นบริจาคเงินทรัพย์สินอื่นใด ให้แก่พรรคภูมิใจไทย หรือมีความเกี่ยวข้องกับพรรคภูมิใจไทยมาก่อน
นายศุภวัฒน์ เคยเบิกความว่า ก่อนหน้าที่จะรับโอนหุ้น ไม่เคยบริจาค เงินให้กับพรรคภูมิใจไทย จึงเป็นข้อพิรุธสงสัยว่านายศุภวัฒน์ และบริษัทห้างหุ้นส่วนจำกัดบุรีเจริญพรสักชั่น ไม่เคยมีความเกี่ยวข้องหรือมีความสัมพันธ์ใด ๆ กับพรรคภูมิใจไทย แต่ภายหลังที่ผู้ถูกร้องโอนหุ้นให้นายศุภวัฒน์แล้ว พบว่าทั้งนายศุภวัฒน์และห้างหุ้นส่วนจำกัดบุรีเจริญคอนสตรัคชั่น ได้บริจาคเงินหรือทรัพย์สินให้กับพรรคการเมืองที่นายศักดิ์สยาม มีตำแหน่งเป็นเลขาธิการพรรค
ดังนั้น จากข้อพิรุธประกอบกับพฤติการณ์แวดล้อม จึงเห็นได้ว่าผู้ถูกร้องกับนายศุภวัฒน์ตกลงนำเงินของนายศักดิ์สยามไปทำธุรกรรมต่าง ๆ ในนามของนายศุภวัฒน์ โดยขั้นตอนสุดท้ายนำเงินไปซื้อกองทุนในชื่อนายศุภวัฒน์และขายกองทุน เพื่อนำเงินไปจ่ายให้กับนายศักดิ์สยามจำนวน 119,500,000 ล้านบาท ผู้ถูกร้อง ดังนั้น เงินจำนวนดังกล่าวยังคงเป็นของนายศักดิ์สยาม จึงถือว่านายศักดิ์สยามยังคงไว้ซึ่งความเป็นหุ้นส่วน หรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนจำกัดบุรีเจริญ คอนสตรัคชั่น และนายศุภวัฒน์ดูแลห้างหุ้นส่วนจำกัด แทนนายศักดิ์สยามมาโดยตลอด จึงเป็นการถือหุ้นของรัฐมนตรี อยู่ในความดูแลของบุคคลอื่น ไม่ว่าทางใด ๆ ซึ่งเป็นการกระทำต้องห้าม ตามมาตรา 187 ดังนั้น ความเป็นรัฐมนตรีของนายศักดิ์สยาม จึงสิ้นสุดลงเฉพาะตัว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับตุลาการเสี่ยงข้างน้อยจำนวน 1 คนคือนายอุดมสิทธิ วิรัชธรรม ที่เห็นว่าความเป็นรัฐมนตรี ของผู้ถูกร้องไม่สิ้นสุดลงเฉพาะตัว ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรค 1 ( 5).-316.-สำนักข่าวไทย